วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร


แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

The Guideline of Political Participation Support for People

in Dusit District, Bangkok.

 

ภูสิทธ์ ขันติกุล

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

Phusit Khantikul

Faculty of Humanities and Social Science

Corresponding author. E-mail : phu_sit@hotmail.com

 

บทคัดย่อ

 

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง และแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นและแบบง่าย ได้กลุ่มตัวอย่างเป็น ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงกับผู้นำชุมชน 44 คน ด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การแจกแจงแบบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา พบผลการศึกษาดังนี้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยที่มีอิทธิพลได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัวและบทบาทในชุมชน ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมือง และปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมืองมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ส่วนแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนที่สำคัญที่สุด คือ ภาครัฐควรมุ่งเน้นพัฒนาหรือส่งเสริมบทบาททางเมืองของชุมชนให้สูงขึ้นเฉพาะกลุ่มที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน และการจัดกิจกรรมต้องเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกตำแหน่งฐานะทางสังคม ในชุมชนเข้าถึงกิจกรรมได้อย่างเท่าเทียม

คำสำคัญ แนวทางการส่งเสริม  การมีส่วนร่วมทางการเมือง  ประชาชนในเขตดุสิต

 

Abstract

 

          The purpose of this research aims to find a guideline of political participation support for Dusit District, Bangkok. There are three objectives: (1) to study the political participation level; (2) to study factors in political participation and (3) to find a guideline of political participation support. The research used the 400 questionnaires, a quantitative method. The research selected people at the age of 18 years old up, using Stratified random sampling and simple sampling. And used an interview for the qualitative method. The samples were selected from the 44 community leaders. The assumption is also verified by content analyses along with induction analyses. The findings of this research are that (1) the overall political participation of the people; has low level. (2) There are factors that impacted on the political participation; including sex, age, marital status, career, social members, family and social roles; political environment factors has positive correlation to political participation. (3) The guideline of political participation support for Dusit District is: to encourage the adolescences and worker to pay more roles on community politic; and to arrange political activities for the target to realize how important the politic means to them.

Keywords Guideline for the Support, Political Participation, People in Dusit District

 

บทนำ

ประเทศไทยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ถือเป็นปฐมฤกษ์ในการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของประเทศตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดระยะเวลา 77 ปี อำนาจอธิปไตยที่กล่าวว่า “เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ในความเป็นจริงยังมีน้อยอยู่มาก การตื่นตัวทางการเมืองน้อย และประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้รับมากกว่าผู้กระทำ ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่ในการปกครองประเทศจึงไปตกอยู่กับชนชั้นนำของประเทศ ที่เรียกกันว่า “อมาตยาธิปไตย” จำพวกเจ้าขุนมูลนาย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงนักธุรกิจ พ่อค้า เป็นต้น ผลพวงของการปกรองระบอบประชาธิปไตยนั่นก็คือการมีรัฐธรรมนูญไว้เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองเทศ ซึ่งประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญมาแล้วจนถึงปัจจุบันจำนวน 18 ฉบับ กระทั่งช่วงทศวรรษ(2540-2553)ที่ผ่านมา ประชาชนทั่วประเทศให้ความสนใจและเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการเลือกตั้ง การเรียกร้องสิทธิของตน การชุมชนประท้วงต่าง ๆ ทำให้กระแสของประชาธิปไตย กระแสการเมืองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของประชาชนที่ทุกคนต้องติดตามเพราะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ประหนึ่งว่า “การเมืองเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องรับผิดชอบร่วมกัน การใช้อำนาจทางการเมืองล้วนมีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนทั้งสิ้น” (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2549) นอกจากนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนมากขึ้น ยังมีด้านความรู้ความเข้าใจทางการเมือง ข่าวสารและความสนใจทางการเมือง ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม การอาศัยอยู่ในเขตเมือง-ชนบท และความพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลของประชาชนด้วย (บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และถวิลวดี บุรีกุล, 2548)

การแสดงออกซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นแต่ละสังคมมีการกระทำทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ตามบริบทของสังคมนั้น ๆ เช่นว่า ในสังคมหนึ่งถือว่าการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการกระทำที่เกิดจากความสมัครใจไม่ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ตาม หรืออาจเกิดขึ้นเพียงบางครั้งคราวหรือต่อเนื่อง อาจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงเป็นทั้งการต่อต้าน เช่น การเดินประท้วง การก่อจลาจล และทั้งที่เป็นการสนับสนุน เช่น การให้ความร่วมมือกับทางการในการเสียภาษี การเกณฑ์ทหาร เป็นต้น (Milbrath & Goal, 1977) แต่สิ่งที่น่าสนใจในปัจจุบันคือการอยู่อาศัยในเขตเมืองหรือชนบท ไม่สามารถชี้ชัดว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มคนใดมากกว่ากันได้ จากการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา สถิติของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต พบว่าเขตที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ เขตดุสิต มีผู้มาใช้สิทธิทั้งสิ้น 38,869 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิ 84,610 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 45.94 (หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์, 2552)

เกิดคำถามวิจัยว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนว่าอยู่ในระดับใด ปัจจัยอะไรที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และมีแนวทางที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างไร เนื่องจากผู้วิจัยตระหนักว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนสะท้อนการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศนั้น ๆ ด้วย และมักจะเป็นตัวชี้วัดถึงระบอบการปกครองได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อค้นหาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และเสนอแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไป

 

อุปกรณ์และวิธีการ

ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนทั้งชายและหญิง อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่มีบัญชีรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชุมชน 44 ชุมชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 84,869 คน โดยมีหน่วยวิเคราะห์ 2 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น (Probability sampling) ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้อย่างครอบคลุมทุกแขวง และวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เพื่อสุ่มตัวอย่างจากประชากรตามขนาดแต่ละแขวง ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม

กลุ่มที่ 2 ผู้นำชุมชน ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability sampling) ด้วยวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยกำหนดสัมภาษณ์ทุกชุมชน เฉพาะผู้นำชุมชน หรือประธานกรรมการชุมชน จำนวน 44 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์

นำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติ ได้แก่ สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อบรรยายข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากรที่ศึกษา สถิติอนุมาน (Inductive Statistics) เพื่อทำการเปรียบเทียบและทดสอบข้อมูล ได้แก่ Independent - Samples T test (T-test) One-Way ANOVA (F-test) ส่วนการวิเคราะห์แบบสัมภาษณ์ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ซึ่งมีเกณฑ์ในการวัดระดับการมีส่วนร่วม คือ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.01 – 4.00 หมายถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับสูง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.01 – 3.00 หมายถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับปานกลาง และค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00 – 2.00 หมายถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับต่ำ

 

ผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย

ผลการวิจัยพบว่า

ประเด็นที่ 1 ระดับการมีส่วนร่วมทางเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพิจารณาจากรายด้าน 6 ด้าน มีเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือระดับปานกลางและระดับต่ำ ซึ่งด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง (Mean = 2.72, S.D. = 0.74) ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งระดับชาติ(ส.ส.) และ(ส.ว.) รวมถึงการไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น(กรรมการชุมชนสมาชิกสภาเขตดุสิต(ส.ข.) สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.) และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร) นั่นเป็นเพราะว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีโอกาสแสดงบทบาทหน้าที่ทางการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นการแสดงบทบาททางการเมืองที่ง่าย นับว่าเป็นทางการที่สุดและใช้เวลาน้อย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน มีอาชีพรับจ้าง ค้าขาย รับราชการเป็นหลัก จึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับกิจกรรมการเมืองอื่น ๆ ซึ่งตรงกับระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ชี้ให้เห็นว่าการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การเขียนเรื่องร้องทุกข์ เสนอปัญหาไปยังนักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำทางการเมืองและหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ รวมถึงการชุมนุมทางการเมือง การฟังปราศรัยหาเสียง และการติดต่อกับนักการเมืองนั้นมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับต่ำทุกข้อ และอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะว่าประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองน้อยกว่าการประกอบอาชีพ หรือเรื่องปากท้อง และคิดว่าเรื่องการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องของตนเองที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะว่าตนเองเป็นเพียงลูกบ้านชาวบ้านทั่วไปในชุมชนเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนราชพัสดุ ที่ว่า “ประชาชนมีความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์ทางการเมือง จึงทำให้ประชาชนลดระดับความสนใจทางการเมืองลงมาก” (สามารถ อำพันหอม, 2553) และความเบื่อหน่ายตัวนักการเมืองเองด้วย สอดคล้องกับแนวคิดของพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต (2541) กล่าวว่าการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นการแสดงออกในลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ที่แทบไม่ต้องลงทุน ด้านแรงงานหรือกำลังทรัพย์แต่การที่คนไม่ออกไปใช้สิทธินั้นอาจเกิดจากความเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แย่งชิงผลประโยชน์และแตกแยกกันเองของนักการเมือง จึงไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง จากคำถามวิจัยสู่ผลการวิจัยทำให้ผู้วิจัยยอมรับว่าในปัจจุบันประชาชนเขตดุสิตมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ในระดับต่ำซึ่งตรงกันกับสถิติของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 ที่ว่า ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต เขตดุสิตมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยที่สุด และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 กรุงเทพมหานครเขตดุสิตมีผู้มาใช้สิทธิ์น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของกิจฎิภันส์ ยศปัญญา (2547) ที่ได้ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในหมู่บ้านสินธนา1เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร พบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่ในระดับต่ำ และมนัสชัย บำรุงเขต (2550) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชน ในองค์การบริหารส่วนตำบลบางซ้าย อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยภาพรวมระดับน้อยเช่นเดียวกัน

ประเด็นที่ 2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ และสถานภาพ ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัว และบทบาทหน้าที่ในชุมชน ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมือง ได้แก่ การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง และการพัฒนาทางการเมือง ปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมือง ได้แก่ ความสนใจทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง และการกล่อมเกลาทางการเมือง รวมถึงปัจจัยที่สามารถพยากรณ์การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนมีจำนวน 4 ตัว เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสนใจทางการเมือง การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง ค่านิยมพื้นฐานทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และสภาพแวดล้อมทางการเมือง แต่ปัจจัยที่ทรงอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ปัจจัยที่น่าสนใจที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง การพัฒนาทางการเมือง ความสนใจทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง และการกล่อมเกลาทางการเมือง  ซึ่งปัจจัยเหล่ามีผลอย่างมากต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง กล่าวคือ เมื่อปัจจัยเหล่านี้มีระดับที่สูงจะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองสูงตามไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ถวิลวดี บุรีกุลและคณะ (2546) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลและองค์กรอิสระ พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้แก่ ข่าวสารและความสนใจทางการเมือง โดยที่การได้รับข่าวสารและความสนใจทางการเมืองมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง และผลการวิจัยของวิทยา บุณยะเวชชีวิน (2543) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อการปกครองท้องถิ่น เทศบาลตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองต่อการปกครองท้องถิ่นในเขตเทศบาลตำบลบางปู คือ การผ่านสังคมประกิตทางการเมือง การผ่านการบ่มเพาะทางการเมือง การมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย และการเข้าถึงข่าวสารทางการเมือง รวมถึงผลการวิจัยของวัชรี ด่านกุล (2541) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของเยาวชนอายุ 18-20 ปี : ศึกษากรณี อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านความสนใจข่าวสารทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของเยาวชน

ประเด็นที่ 3 แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย (1) ควรมุ่งเน้นการพัฒนาหรือส่งเสริมบทบาททางเมืองของชุมชนให้สูงขึ้นเฉพาะกลุ่มที่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่มีอายุ 18-29 ปี เนื่องจากมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยที่สุด โดยต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองของชุมชนให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ได้มีโอกาสแสดงบทบาทของตนเองเพิ่มมากขึ้น (2) หน่วยงานภาครัฐ และผู้นำชุมชนควรเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของประชาชนให้มีความหลากหลายทันสมัยและสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง เนื่องจากช่องทาง สื่อต่าง ๆ ไม่เหมาะสมกับบางอายุหรือบางกลุ่มอาชีพ (3) ภาครัฐควรจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมทางการเมือง ต้องเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกตำแหน่งฐานะทางสังคม โดยที่ภาครัฐต้องไม่แสดงถึงความไม่เป็นธรรมหรือสองมาตรฐานในกิจกรรมทางการเมืองที่จัดให้กับประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และ (4) นักการเมืองท้องถิ่น หรือผู้นำชุมชนควรตระหนักในการเข้ารับฟังปัญหาของประชาชนอย่างทั่วถึงและนำไปปฏิบัติจริง มิใช่รับแล้วไม่ปฏิบัติให้บรรลุผล ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองเพิ่มขึ้น เนื่องจากการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนและประชาชน ได้พบว่า นักการเมืองจะมาก็ต่อเมื่อมาหาเสียงเท่านั้น ไม่เคยลงมารับฟังปัญหาของชาวบ้านจริง ๆ และไม่เคยทำให้สำเร็จได้เลย จึงส่งผลต่อการไม่อยากมีส่วนร่วมทางการเมืองและทำให้เสียเวลาด้วย

การนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์

          ผู้วิจัยได้นำผลการวิจัยไปใช้ในการบริการวิชาการแก่ชุมชน โดยวิธีการอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่ผู้นำชุมชนและประชาชน เพื่อนำเสนอแนวทางของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนให้ผู้นำและประชาชนทั้ง 44 ชุมชน ได้นำไปขยายผลแก่ประชาชนในชุมชนต่อไป

 

เอกสารอ้างอิง

กิจฎิภันส์ ยศปัญญา. (2547). การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณี ประชาชนในหมู่บ้านสินธนา 1 เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญารัฐประศาสนศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยบูรพา.

ถวิลวดี บุรีกุลและคณะ. (2546). โครงการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลและองค์กรอิสระ. ชุดโครงการวิจัยเรื่อง การติดตามและประเมินผลบังคับใช้รัฐธรรมนูญ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และถวิลวดี บุรีกุล. (2548). ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม. สถาบันพระปกเกล้า. กรุงเทพมหานคร.

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต. (2541). ชนชั้นกับการเลือกตั้ง. สำนักพิมพ์วิภาษา. กรุงเทพมหานคร.

มนัสชัย บำรุงเขต. (2550). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตำบลบางซ้าย อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. การศึกษาอิสระปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

วัชรี ด่านกุล. (2541). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของเยาวชนอายุ 18-20 ปี : ศึกษากรณี อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา. ภาคนิพนธ์พัฒนศาสตรมหาบัณฑิต (พัฒนาสังคม) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. 87-89.

วิทยา บุญยะเวชชีวิน. (2543). การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนต่อการปกครองท้องถิ่น : ศึกษาเฉพาะกรณี เทศบาลตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ. การศึกษาตามหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยบูรพา.

สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์. (2549). การเมืองไทย. เสมาธรรม. กรุงเทพมหานคร. 562-563.

สามารถ อำพันหอม, (2553, 30 มีนาคม). เลขานุการชุมชนราชพัสดุ. สัมภาษณ์.

หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์. (2552). สรุปคนกรุงใช้สิทธิเลือกผู้ว่าฯกทม.51.10% (ทวีวัฒนามากสุด-ดุสิตน้อยสุด) วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1231677594&grpid=03&catid=01 (8 October 2009).

 

 

หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์. (2554). เปิด 10 ที่สุดของการเลือกตั้ง กทม. วันที่ 3 กรกฎาคม 2554. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310181846&grpid=03&catid=&subcatid= (9 July 2011).

Lester W. Milbrath and M. L. Goal. (1977). Political Participation : How and Why Do People Get Involved in Politics. Chicago : Rand McNally College Publishing Company.

 

กิตติกรรมประกาศ

ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่ให้การสนับสนุนการวิจัย และขอขอบพระคุณคณาจารย์ นักศึกษาของสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

 

 

People in Dusit District’s community with political participation in the development of democracy


ประชาชนเขตดุสิตกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการพัฒนาประชาธิปไตย

People in Dusit District’s community with political participation in the development of democracy

ภูสิทธ์ ขันติกุล

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

บทคัดย่อ

การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ความคิดเห็นทางการเมืองของผู้นำชุมชน และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น และการสุ่มแบบง่าย ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจำนวน 400 คนเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น ด้วยวิธีสุ่มแบบเจาะจง โดยการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน หรือประธานกรรมการชุมชน จำนวน 44 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมานและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลวิจัยคือ ประชาชนเขตมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ ผู้นำชุมชนส่วนใหญ่เห็นว่า กลุ่มที่มีบทบาททางการเมืองมากที่สุด คือ กลุ่มผู้สูงอายุ พ่อค้าแม่ค้า พ่อบ้านและแม่บ้าน และปัญหาที่ขัดขวางการมีส่วนร่วมทางการเมืองส่วนมากเป็นเรื่องความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง การแบ่งฝ่ายแบ่งสี ขาดความสามัคคีของคนในชุมชน ส่วนปัจจัยที่ทรงอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่า เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัว บทบาทหน้าที่ในชุมชน การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง การพัฒนาทางการเมือง ความสนใจทางการเมือง การกล่อมเกลาทางการเมือง และพฤติกรรมทางการเมือง

คำสำคัญ: การมีส่วนร่วมทางการเมือง ปัจจัยทางเมือง ประชาชนเขตดุสิต

Abstract

The purpose of this research aims to study the political participation level; to study factors in political participation and Political opinions of community leaders. The research used the 400 questionnaires, a quantitative method. The research selected people at the age of 18 years old up, using simple sampling. The research assumption is verified by content analyses along with induction analyses; and used an interview for the qualitative method. The samples were selected from the 44 community leaders. The assumption is also verified by content analyses along with induction analyses. The findings of this research are that (1) the overall political participation of the people in Dusit District; has low level. (2) Most of Community leader’s Political opinions are Elderly persons, merchants and heads of a family; conflicts for political participation are Conflict of political opinions seriously and lack of unity in community. (3) There are factors that impacted on the political participation in Dusit District; including sex, age, marital status, career, social members, family and social roles, Political news Perception, Political development, Political interests Political socialization and political culture.

Key word: Political Participation, Political factors, People in Dusit’s District

E-mail address: phu_sit@hotmail.com

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

                การมีส่วนร่วม” (Participation) เป็นคำสากลที่สะท้อนถึงความเสมอภาคในการแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปแบบอย่างหนึ่งอย่างใดต่อสังคมหรือต่อส่วนรวม ซึ่งมีลักษณะสำคัญตามแนวคิดของ Cohen & Uphoff (1980 : 213) ไว้ว่า การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (Implementation) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์  (Benefits) และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) โดยชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่เข้ามามีส่วนร่วมนั้นย่อมเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกิจกรรมเหล่านั้น ๆ จะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับบทบาทที่ได้รับด้วย ซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นที่จะกล่าวถึงในงานวิจัย คือ “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” (Political Participation) โดยหมายเอาเฉพาะการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครเท่านั้น เป้าหมายที่สำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองคือตัวชี้วัดหนึ่งของการพัฒนาระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย หากประเทศใดที่ประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูงย่อมแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยสูง แต่ประเทศใดที่ประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองต่ำย่อมแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยต่ำไปด้วย ทุกคนไม่สามารถปฏิเสธผลกระทบทางการเมืองต่อวิถีชีวิตประจำวันของทุกคนได้จนบางครั้งมีความรู้สึกประหนึ่งว่า “การเมืองเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องรับผิดชอบร่วมกัน การใช้อำนาจทางการเมืองล้วนมีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนทั้งสิ้น” (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2549 : 562-563) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้ให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้เช่นเดียวกัน ดังเช่นในมาตรา 87 (2) ว่า “ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง...” (4)ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง...” (5) ส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม” (ราชกิจจานุเบกษา, 2550 : 28) นอกจากนี้ยังระบุถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในมาตรา 163 ว่า “...มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ...” หรือมาตรา164 ว่า มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติ...ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้...” และมาตรา 165 ว่า “...มีสิทธิออกเสียงประชามติ...” (ราชกิจจานุเบกษา, 2550 : 61) ประเด็นเหล่านี้คือหลักการที่สำคัญของคำว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” แต่ความเป็นจริงในทางปฏิบัติการแสดงบทบาทการมีส่วนร่วมทางเมืองของประชาชนยังมีไม่มากนัก เพียงเฉพาะเรื่องการมีส่วนร่วมในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ไม่ต้องลงทุนหรือเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่กลับพบว่าประชาชนแสดงบทบาทการมีส่วนร่วมนี้น้อยมาก ยกตัวอย่างเช่น การไปใช้สิทธิการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 สถิติของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต พบว่าเขตที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุด(คิดเป็นร้อยละ 45.94) คือ เขตดุสิต  (หนังสือพิมพ์มติชน, 2552 : ออนไลน์)นี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้วิจัยเลือกศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดถึงความจำเป็นต้องศึกษาเขตดุสิตเนื่องจากว่าประชาชนและชุมชนในเขตดุสิตมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและที่มา เป็นทั้งชุมชนดั้งเดิม ชุมชนจัดตั้ง ชุมชนทหาร ชุมชนรอบวัด ชุมชนรอบวัง รวมถึงประชาชนเจ้าของถิ่นเดิม ประชาชนแฝง เป็นต้น นอกจากนี้พื้นที่เขตดุสิตยังเป็นที่ตั้งของรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางในการบริหารประเทศ รวมถึงการออกกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศด้วย เมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองใด ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การชุมนุมประท้วง การชุมนุมขับไล่ การชุมชนเรียกร้องของประชาชน หรือกลุ่มคนต่าง ๆ เป้าหมายสุดท้ายนั่นก็คือการมายังรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล เป็นต้น ประชาชนเขตดุสิตจะได้รับผลกระทบโดยตรงไปพร้อมกันด้วย เหตุผลสำคัญเหล่านี้จึงทำให้ผู้วิจัยทำการศึกษาเพื่อวัดระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนและความคิดเห็นทางการเมืองของผู้นำชุมชน รวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประชาชนและผู้นำชุมชนเขตดุสิตเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนพัฒนาและส่งเสริมการมีส่วมร่วมของประชาชนในการพัฒนาประชาธิปไตยต่อไป

วัตถุประสงค์การวิจัย

การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ความคิดเห็นทางการเมืองของผู้นำชุมชน และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย

                การมีส่วนร่วมทางการเมือง  หมายถึง กิจกรรมที่ประชาชนเข้าไปมีบทบาทในการกระทำที่เกี่ยวกับการเมืองนั้นทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เช่น การติดตามข่าวสารทางการเมือง การใช้สิทธิเลือกตั้งและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง การสนทนาเรื่องการเมือง การเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ การติดต่อกับนักการเมือง รวมถึงการชุมนุมทางการเมือง

ปัจจัยทางการเมือง หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งจนกลายเป็นความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม หรือพฤติกรรมที่แสดงออกในลักษณะเป็นการส่งเสริมหรือพัฒนาความเป็นประชาธิปไตย เช่น การกล่อมเกลาทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมือง ความสนใจทางการเมือง การมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ค่านิยมพื้นฐานทางการเมืองแบบประชาธิปไตย

กรอบแนวคิดในการวิจัยและวรรณกรรมสนับสนุนกรอบแนวคิด

                การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นแนวคิดหนึ่งที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบใหญ่ ๆ ในสังคมให้เดินหน้าต่อไป ซึ่งอาจใช้กลไกทางการเมืองในรูปแบบใด ๆ ก็ได้ เช่นว่าการเลือกตั้ง เป็นหัวใจของระบบประชาธิปไตยสมัยใหม่ เพราะเป็นกลไกสำคัญสำหรับพลเมืองที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมมองโดยตรง และเป็นเครื่องมือในการถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยของประชาชนไปให้ตัวแทนทำหน้าที่ใช้แทนประชาชน(ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์, 2554 : 6) ในการวิจัยได้อาศัยกรอบแนวคิดการมีส่วนร่วมทางการเมืองของAlmond and Powell (1976 : 145-146) ที่กล่าวถึงรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เป็นได้ทั้งในรูปแบบตามธรรมเนียมปฏิบัติ (Conventional Forms) เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง การสนทนาเรื่องการเมือง การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง การจัดตั้งและการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ การติดต่อส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่การเมือง และรูปแบบที่ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ (Unconventional Forms) เช่น การยื่นข้อเรียกร้อง การเดินขบวน การเข้าประจันหน้ากัน การละเมิดกฎหมายของสังคม การใช้ความรุนแรงทางการเมือง สงครามแบบกองโจรและการปฏิวัติรัฐประหาร  นอกจากนี้ผู้วิจัยอาศัยแนวคิดของ Lester W. Milbrath (1965 : 18) ได้จัดระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้อย่างน่าสนใจเรียงจากน้อยไปมาก คือ การที่บุคคลตอบสนองสิ่งเร้าทางการเมือง เช่น การติดตามข่าวสารทางการเมือง การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การอภิปรายถกเถียงปัญหาทางการเมือง การพยายามพูดจาชักชวนผู้อื่นเพื่อไปออกเสียงเลือกตั้ง การคิดเครื่องหมายหรือแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียง การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้นำทางการเมือง การช่วยเหลือทางการเงินแก่พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง การเข้าร่วมประชุมทางการเมือง การสละเวลาเพื่อช่วยหาเสียงเลือกตั้ง  การเป็นสมาชิกผู้กระตือรือร้นของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง การเข้าร่วมประชุมในคณะกรรมการกลางของพรรคการเมือง การช่วยหาทุนให้พรรคการเมือง การสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง การได้รับเลือกเข้าดำรงตำแหน่งของรัฐบาลและพรรคการเมือง รวมถึงอาศัยแนวคิดของจันทนา สุทธิจารี (2544 : 412-414) ที่กล่าวถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบเป็นทางการ มีลักษณะที่กฎหมายรองรับให้กระทำได้หรือต้องกระทำ เช่น การเลือกตั้ง การใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การจัดตั้งและเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และการมีส่วนร่วมโดยการรวมตัวเป็นกลุ่มผลประโยชน์ 2) การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไม่เป็นทางการ เช่น การเดินขบวนหรือชุมนุมประท้วง และการก่อความไม่สงบทางการเมือง ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ทำให้ผู้วิจัยสังเคราะห์เป็นกรอบแนวคิดด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เหมาะสมกับประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ได้แก่ การมีส่วนร่วมทางการเมืองในด้านการติดตามข่าวสารทางการเมือง ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้งและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ด้านการสนทนาเรื่องการเมือง ด้านการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ ด้านการติดต่อกับนักการเมือง และด้านการชุมนุมทางการเมือง แนวคิดเหล่านี้จะถูกนำมาใช้เป็นแนวทางสำคัญที่จะศึกษาวิจัยพฤติกรรมทางการเมืองในเชิงประชาธิปไตยที่ประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีโอกาสแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นทางการตามกฎหมาย

วิธีการดำเนินการวิจัย

                ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนทั้งชายและหญิง อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่มีบัญชีรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชุมชน 44 ชุมชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 84,869 คน ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability sampling) ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้อย่างครอบคลุมทุกแขวง และวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เพื่อเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ด้วยแบบสอบถาม ส่วนกลุ่มผู้นำชุมชน ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability sampling ) ด้วยวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งสัมภาษณ์ทุกชุมชน เฉพาะผู้นำชุมชน หรือประธานกรรมการชุมชน หรือตัวแทน จำนวน 44 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์ นำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติ ได้แก่ สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อบรรยายข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากรที่ศึกษา สถิติอนุมาน (Inductive Statistics) เพื่อทำการเปรียบเทียบและทดสอบข้อมูล ได้แก่ Independent - Samples T test (T-test) One-Way ANOVA (F-test) ส่วนการวิเคราะห์แบบสัมภาษณ์ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ส่วนเกณฑ์ในการวัดระดับการมีส่วนร่วม คือ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.01 – 4.00 หมายถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับสูง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.01 – 3.00 หมายถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับปานกลาง และค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00 – 2.00 หมายถึง การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับต่ำ

 

ผลการวิจัย

การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ (ค่าเฉลี่ย 1.99) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองเพียง 2 ระดับเท่านั้นได้แก่ ระดับปานกลาง และต่ำ ได้แก่ รายด้านที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ระดับปานกลาง คือ ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง (ค่าเฉลี่ย 2.72) ด้านการติดตามข่าวสารทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 2.44) และด้านการสนทนาเรื่องการเมือง (ค่าเฉลี่ย 2.32) ทั้งนี้รายด้านที่การมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ระดับต่ำ ได้แก่ ด้านการชุมนุมทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 1.57) ด้านการติดต่อกับนักการเมือง (ค่าเฉลี่ย 1.56) และด้านการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (ค่าเฉลี่ย 1.36) ในส่วนของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัว บทบาทหน้าที่ในชุมชน การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง การพัฒนาทางการเมือง ความสนใจทางการเมือง การกล่อมเกลาทางการเมืองและพฤติกรรมทางการเมือง นอกจากนี้ทัศนะของประชาชนที่เกี่ยวกับปัจจัยทางการเมืองซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจัยด้านการกล่อมเกลาทางการเมืองโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.77) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า ประชาชนที่มีการกล่อมเกลาทางการเมืองอยู่ในระดับสูง ได้แก่ เมื่อบิดา มารดา หรือเพื่อน ๆ ของท่านได้แสดงความคิดเห็นขัดแย้ง ท่านมักจะแสดงความไม่พอใจ (ค่าเฉลี่ย 3.10) ปัจจัยด้านวัฒนธรรมทางการเมืองโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง(ค่าเฉลี่ย 2.94) ค่อนไปทางระดับสูง เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า ประชาชนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองระดับสูง ได้แก่ การมีความเชื่อมั่น และชื่นชมในระบอบการปกครองที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุดที่จะสามารถแก้ปัญหาของชาติให้มั่นคงยั่งยืน และมีความเหมาะสมต่อการปกครองในประเทศไทย (ค่าเฉลี่ย 3.48) ปัจจัยด้านความสนใจทางการเมืองโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.64) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า ประชาชนที่มีความสนใจทางการเมืองระดับสูง ได้แก่ เหตุการณ์ทางการเมืองไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน (ค่าเฉลี่ย 3.05) ส่วนประชาชนที่มีความสนใจทางการเมืองอยู่ในระดับต่ำ คือ มีการติดตามรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" เป็นประจำทุกสัปดาห์ (ค่าเฉลี่ย 1.91) ปัจจัยด้านการมีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 3.09) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า ประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอยู่ในระดับสูง คือ การที่รัฐบาลมีการบริหารประเทศที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นสิ่งสำคัญในระบอบประชาธิปไตย (ค่าเฉลี่ย 3.47) ปัจจัยด้านค่านิยมพื้นฐานทางการเมืองแบบประชาธิปไตยโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 3.09) เมื่อพิจารณาตามรายข้อ พบว่า ประชาชนที่มีค่านิยมพื้นฐานทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอยู่ในระดับสูง คือ การเคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นนับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง (ค่าเฉลี่ย 3.44)

ทัศนะทางการเมืองของผู้นำชุมชนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางเมืองของประชาชนในชุมชน พบว่า ผู้นำชุมชนจะมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุด จากการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน พบว่า กลุ่มที่มีบทบาททางการเมืองมากที่สุด คือ กลุ่มผู้สูงอายุ พ่อค้า แม่ค้า พ่อบ้าน และแม่บ้าน ชี้ให้เห็นว่า “การเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ อาชีพค้าขายอยู่บ้าน หรือในชุมชน ยิ่งอายุมากขึ้นการมีส่วนร่วมยิ่งสูงขึ้น” ซึ่งสอดคล้องและขัดแย้งกับแนวคิดของมิลบาร์ท และ โกเอล (Milbrath และ Goel, 1977) พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอายุระหว่าง 40-50 ปี แต่มีส่วนร่วมทางการเมืองที่ลดลงเมื่ออายุเกือบ 60 ปี “โดยคนหนุ่มสาวจะให้ความสนใจทางเมืองน้อย” สอดคล้องกับผลการวิจัยของศุภวัธ มีบุญธรรม (2547 : 73) พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ในระดับต่ำ ส่วนพฤติกรรมการเมืองในลักษณะของประชาชน คือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนท้องถิ่น หรือ ส.ส. หรือ ส.ว.เป็นอันดับแรก พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง การรับฟังข่าวสารทางการเมือง ชี้ให้เห็นว่า “ประชาชนจะตัดสินใจเลือกกิจกรรมที่เป็นไปตามกฎหมายก่อน เหตุผลรองลงมาคืออาศัยความยากง่ายและความสนใจของกิจกรรมทางการเมืองนั้น ๆ  รวมถึงการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้น ๆ จะต้องไม่มีผลเชิงลบต่อชีวิต และทรัพย์สินมากนัก” ส่วนปัญหาอุปสรรคการมีส่วนร่วมทางการเมืองตามทัศนะของผู้นำทุกชุมชนในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เห็นตรงกันว่า “การขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง แบ่งฝ่ายแบ่งสี ขาดความสามัคคีของคนในชุมชนเป็นอย่างมาก เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการแสดงออกในการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ของประชาชนและผู้นำด้วย

 

การอภิปรายผล

                การมีส่วนร่วมทางเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ  2.72 มากกว่าด้านอื่น ๆ นั้นเป็นเพราะว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีโอกาสแสดงบทบาทหน้าที่ทางการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นการแสดงบทบาททางการเมืองที่ง่าย นับว่าเป็นทางการที่สุดและใช้เวลาน้อย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน มีอาชีพรับจ้าง ค้าขาย รับราชการเป็นหลัก จึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับกิจกรรมการเมืองอื่น ๆ ทั้งในเรื่องของการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การเขียนเรื่องร้องทุกข์ เสนอปัญหาไปยังนักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำทางการเมืองและหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ รวมถึงการชุมนุมทางการเมือง การฟังปราศรัยหาเสียง และการติดต่อกับนักการเมือง ทำให้การแสดงพฤติกรรมทางการเมืองในการพัฒนาประชาธิปไตยมีระดับต่ำทุกข้อ ซึ่งส่วนสำคัญประการหนึ่ง คือประชาชนในเขตดุสิตให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองน้อยกว่าการประกอบอาชีพ หรือเรื่องปากท้อง และคิดว่าเรื่องการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องของลูกบ้านหรือชาวบ้านทั่วไปที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องและเป็นเรื่องน่าเบื่อ ซึ่งสอดคล้องกับผลการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน ที่ว่า “ประชาชนมีความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์ทางการเมือง จึงทำให้ประชาชนลดระดับความสนใจทางการเมืองลงมาก” (สามารถ อำพันหอม, 2553 : สัมภาษณ์)

ข้อเสนอแนะการใช้ประโยชน์/ข้อสังเกต

                - ผลการวิจัยครั้งนี้ได้นำไปต่อยอดในการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้นำชุมชน ประชาชนในการจัดทำบริการวิชาการมีส่วนร่วมของประชาชนกับการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องทุกปีนับเป็นภารกิจร่วมกันอย่างแท้จริง

- อย่างไรก็ตามผลการวิจัยเกิดจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามทัศนะทางการเมืองตามข้อคำถามของแบบสอบถามและการสัมภาษณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อาจมิใช่ผลของการปฏิบัติจริงก็ได้ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านระยะเวลาที่ไม่เกิน 4 เดือนขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่การเมืองกำลังรุนแรง (มีนาคม-มิถุนายน 2553)

บรรณานุกรม

จันทนา สุทธิจารี. 2544. การเมืองการปกครองไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ วี.เจ พริ้นติ้ง.

ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์. 2554. โหวตโน...แล้วได้อะไร?. ในหนังสือพิมพ์มติชน ปีที่ 34 ฉบับที่ 12162, 28 มิถุนายน. หน้า 6.

ราชกิจจานุเบกษา. 2550. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. [Online] accessed 8 October 2009. Available from http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/A/047/1.PDF

ศุภวัธ มีบุญธรรม. 2547. การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา: ศึกษาเฉพาะกรณีนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) สาขารัฐศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

สามารถ อำพันหอม, (2553, 30 มีนาคม). เลขานุการชุมชนราชพัสดุ. สัมภาษณ์.

สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์. 2549. การเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร : เสมาธรรม.

หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์. 2552. สรุปคนกรุงใช้สิทธิเลือกผู้ว่าฯกทม.51.10% (ทวีวัฒนามากสุด-ดุสิตน้อยสุด) วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552. [Online] accessed 8 October 2009. Available from http://www.matichon.co.th

Almond, Gabriel A. and Jr. B.G. Powell. 1976. Comparative Political Today. Boston : Little Brown and Company.

Cohen John M. and Uphoff, NormanT. 1980. Participation’s Place in Rural Development, Seeking Clarity Through Specificity” World Development. Vol. 8.

Lester W. Milbrath. 1965. Political participation; how and why do people get involved in politics?, Chicago : Rand McNally political science series.

Lester W. Milbrath and M. L. Goal. 1977. Political Participation : How and Why Do People Get Involved in Politics. Chicago : Rand McNally College Publishing Company.

 

Political opinions and Democratic Political Participation of people in 44 communities, Dusit District. Bangkok


ทัศนะทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประชาชน 44 ชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

Political opinions and Democratic Political Participation of people in 44 communities, Dusit District. Bangkok

 

ภูสิทธ์  ขันติกุล

Phusit Khantikul

สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม ภาคสังคมศาสตร์

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

 

บทคัดย่อ

 

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อค้นหาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง 3)เพื่อวิเคราะห์ทัศนะทางการเมืองและกำหนดรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ มีเทคนิคเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเป็นคือ แบบแบ่งชั้น และแบบง่าย ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน และใช้เทคนิคเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็นคือ แบบเจาะจง สำหรับการสัมภาษณ์เฉพาะผู้นำชุมชน 44 คน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าความถี่ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent - Samples T test (T-test) One-Way ANOVA (F-test) และPearson s Product Moment Correlation Coefficient (r) และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา พบว่า ประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมทางการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ระดับต่ำ ได้แก่ ด้านการชุมนุมทางการเมือง ด้านการติดต่อกับนักการเมือง และด้านการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ ส่วนปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัว บทบาทหน้าที่ในชุมชน การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง การพัฒนาทางการเมือง ความสนใจทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง การกล่อมเกลาทางการเมือง ส่วนรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมีลักษณะเป็นทางการ หรือถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนให้ความสำคัญมากที่สุดและเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกที่สุด นั่นจะเป็นฐานของการสร้างประชาธิปไตย ซึ่งก็คือการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยไปเลือกตั้งผู้แทนท้องถิ่น หรือ ส.ส. หรือ ส.ว. นั่นเอง

คำสำคัญ: การมีส่วนร่วมทางการเมือง, ปัจจัยทางการเมือง, รูปแบบการมีส่วนร่วม, ประชาชนเขตดุสิต

 

ABSTRACT

 

The study aims: 1) to find the level of participation in politics, 2) to examine factors influencing participation in politics, 3) to analyze political opinions and to create a model of political participation of people in Dusit District, Bangkok. This is a mixed method of quantitative and qualitative research. The instruments used to collect data were questionnaires and interviews. The technique of a probability sampling, a stratified random sampling is used to collect data. The samples were selected from every community in Dusit District. A simple Random Sampling was used to collect data with questionnaires for 400 people. The non-probability sampling or the purposive sampling was used for in-depth interviews with 44 community leaders. The researcher analyzed the data by using descriptive statistic, inductive statistics, and content analysis. The findings are that: Dusit people participate in politics as a whole but at low levels, there are the low level group participates in political gathering, dealing with politicians, and attending political activities with political parties. Other political factors that influence the political participation of Dusit people are: 1) personal factors, such as age, and social status, 2) economic factors, such as occupation, membership of social groups, family role, and community role, 3) environmental factors, include political awareness and political news, and political development, 4) political psychological factors, such as political interest, political behavior, and Political Socialization. The predicted politic participation includes four chronological factors: political interests, the perception of politics, fundamental values of democratic politics, and political environment. A Model of Participation in Politics of People in Dusit District was that public participation in politics is a sequence database. The people can easily access to the politics. The most accessible and simplest way to access to the activities includes local representatives or MPs election.

Keywords: Political Participation, Factors of Political, Model of Political Participation,  People in Dusit District

หลักการและเหตุผล (Reasonable)

การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีความหมายที่สะท้อนการกระทำเชิงกิจกรรมดังเช่นแนวคิดของ Myron Wiener (1971 : 161-163) ที่กล่าวถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองจะแสดงออก ดังนี้ 1) การกระทำในรูปแบบการสนับสนุนหรือเป็นการกระทำเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาล (support and demand) 2) ความพยายามเพื่อก่อให้เกิดสัมฤทธิผลการในการใช้อิทธิพล (influence) ต่อการปฏิบัติงานของรัฐบาลหรือการเลือกสรรผู้นำรัฐบาล 3) การกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายของพลเมือง (legitimate) 4) การกระทำที่มีตัวแทนทางการเมือง (representation) 5) สภาพที่บุคคลไม่ต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง (alienation) เพราะเห็นว่า การเข้ามามีส่วนร่วมนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากการเฉยเมยทางการเมือง (apathy) เป็นการขาดความสนใจต่อการเมืองทั้งสิ้น 6) ผู้ที่เข้าร่วมทางการเมืองจะหมายถึงผู้กระตือรือร้น (active) หรือผู้ที่มีความตื่นตัวทางการเมืองเป็นพิเศษ (activists) 7) การกระทำที่มีต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา (persistence continuum) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเป็นสถาบัน (institutionalized) และมีการจัดตั้ง นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงการกระทำที่เป็นครั้งคราว ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างทันทีทันใด และบีบคั้นความรุนแรง 8) การกระทำที่เป็นความพยายามในการที่จะเข้ามามีอิทธิพลเหนือการปฏิบัติการของราชการ (bureaucratic actions) และนโยบายสาธารณะ (public policy) 9) การกระทำที่มีผลต่อการเมืองในระดับชาติ (national politics) และการเมืองในระดับท้องถิ่น 10) การกระทำทางการเมือง (political action)

การแสดงบทบาทความเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ถือเป็นปฐมฤกษ์ในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศเข้าไปมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของประเทศตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตย อันเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยประชาชนจะใช้อำนาจออกกฎหมายผ่านรัฐสภา ใช้อำนาจบริหารผ่านรัฐบาล และใช้อำนาจตุลาการผ่านศาล จนทำให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองในอุดมคติของหลาย ๆ ประเทศ (ทินพันธ์ นาคะตะ, 2543 : 1-2) อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว 77 ปี แต่อำนาจอธิปไตยนั้นจะเป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตย ซึ่งการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประชาชนก็ยังมีน้อย การตื่นตัวทางการเมืองน้อย กระจุกอยู่ชนชั้นที่เรียกตัวเองว่า “อำมาตย์” โดยยึดอำนาจอันชอบธรรมจากประชาชนตามตัวบทกฎหมายไว้กับตัวเองและพวกพ้อง เมื่อพึงพอใจและได้ประโยชน์ร่วมกันจะไม่มีปัญหา แต่เมื่อใดก็ตามความพึงพอใจและผลประโยชน์นั้นหายไปสิ่งหนึ่งที่จะเห็น คือ “การปฏิวัติ” หรือ “รัฐประหาร” ซึ่งผลเสียเกิดกับประชาชนและประเทศชาติทุกครั้งไป จนกระทั่งการตื่นตัวของนักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชน ในการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้กระแสประชาธิปไตยกลับมาเฟื่องฟูในสังคมไทยอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการแสดงบทบาทประชาชนชาวไทยเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เรียกร้องตามสิทธิหน้าที่ของความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยมากขึ้น ในที่สุดกระแสประชาธิปไตยของโลกได้มีอิทธิพลเข้ามาขับเคลื่อนให้การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนได้พัฒนาไปสู่การสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาชน จนมีความรู้สึกประหนึ่งว่า “การเมืองเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องรับผิดชอบร่วมกัน การใช้อำนาจทางการเมืองล้วนมีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนทั้งสิ้น” (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2549 : 562-563)

ถึงอย่างไรก็ตามแต่ละสังคมย่อมมีการกระทำทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ตามบริบทของสังคมนั้น ๆ เช่นว่า ในสังคมหนึ่งถือว่าการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการกระทำที่เกิดจากความสมัครใจไม่ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ก็ตาม หรืออาจเกิดขึ้นเพียงบางครั้งคราวหรือต่อเนื่อง อาจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงเป็นทั้งการต่อต้าน เช่น การเดินประท้วง การก่อจลาจล และทั้งที่เป็นการสนับสนุน เช่น การให้ความร่วมมือกับทางการในการเสียภาษี การเกณฑ์ทหาร เป็นต้น (Lester W. Milbrath & M. L. Goal, 1977 : 2) สำหรับประเทศไทยกฎหมายรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 ที่ได้กำหนดบทบาทของประชาชนเกี่ยวกับการเมืองซึ่งสะท้อนเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนที่ว่า มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ มาตรา 65 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้นตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ราชกิจจานุเบกษา, 2550 : 17-18) มาตรา 164 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อมีมติให้ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งได้ มาตรา 165 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งย่อมมีสิทธิออกเสียงประชามติ (ราชกิจจานุเบกษา, 2550 : 61)  

ถึงแม้ในปัจจุบันนี้กฎหมายจะกำหนดบทบาทของประชาชนไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตาม หาใช่ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเข้าใจอย่างถี่ถ้วนในบทบาทของตนเองที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น ๆ การเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชนจะมากหรือน้อยนั้น ย่อมสะท้อนถึงผู้นำประเทศ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชน รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ  เช่นด้านความรู้ความเข้าใจทางการเมือง ข่าวสารและความสนใจทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม การอาศัยอยู่ในเขตเมือง-ชนบท และความพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลของประชาชนด้วย (บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และถวิลวดี บุรีกุล, 2548 : 66) เช่นเดียวกับประชาชนเขตดุสิต ที่เป็นเขตหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่น่าสนใจในการศึกษาถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมืองเนื่องจากกว่า เป็นเขตที่มีสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของประเทศตั้งอยู่มากมาย เช่น รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล พรรคการเมือง รวมถึงกรมกองของหน่วยราชการ   ต่าง ๆ ซึ่งมีผลกระทบทางการเมืองโดยตรงต่อประชาชนผ่านทางกิจกรรมทางการเมือง เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้ง การเรียกร้อง หรือการชุมนุมประท้วงต่าง ๆ ไม่พบว่าประชาชนในเขตดุสิตมีบทบาทอย่างชัดเจน ยกเว้นกิจกรรมการเลือกตั้งทั่วไป หรือเลือกตั้งผู้นำชุมชนเท่านั้น แต่ก็ยังนับว่าน้อยมาก เช่นการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา สถิติของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต พบว่าเขตที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ เขตดุสิต มีผู้มาใช้สิทธิทั้งสิ้น 38,869 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิ 84,610 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 45.94 (กรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร, 2552 :1-2) จึงเป็นคำถามทางการวิจัยว่าอะไร คือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชน ความจริงแล้วประชาชนมีส่วนร่วมเพียงใด มีสาเหตุจากอะไร รูปแบบในการแสดงออกทางการเมืองอย่างไร จะมีแนวทางการแก้ไขอย่างไร  เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยให้กับประชาชนอย่างมีกระบวนการทางวิชาการผู้วิจัยจึงทำการศึกษาและจะนำผลการศึกษาไปใช้ในการบริการวิชาการและพัฒนาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนในเขตดุสิตต่อไป

 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objectives)

เพื่อค้นหาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง รวมถึงวิเคราะห์ทัศนะทางการเมืองและกำหนดรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

 

ระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology)

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนทั้งสิ้น 84,869 คน ทั้งชายและหญิง อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่มีบัญชีรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชุมชน 44 ชุมชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมีหน่วยวิเคราะห์ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชาชนทั่วไป สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างได้อย่างครอบคลุมทุกแขวง และวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เพื่อสุ่มตัวอย่างจากประชากรตามขนาดแต่ละแขวง จะได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน และกลุ่มผู้นำชุมชน ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากคณะกรรมการผู้บริหารชุมชน โดยกำหนดสัมภาษณ์ทุกชุมชน เฉพาะผู้นำชุมชน หรือประธานกรรมการชุมชน จำนวน 44 ชุมชน/คน ซึ่งใช้เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม (Questionnaires) และแบบสัมภาษณ์ (Interview) แบบมีโครงสร้าง ทำการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติ ได้แก่ 1) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อบรรยายข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากรที่ศึกษา 2) สถิติอนุมาน (Inductive Statistics) เพื่อทำการเปรียบเทียบและทดสอบข้อมูล ได้แก่ Independent - Samples T test (T-test) One-Way ANOVA (F-test) และPearson s Product Moment Correlation Coefficient (r) ส่วนการวิเคราะห์แบบสัมภาษณ์ด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

 

ผล/ สรุปผลการวิจัย (Result)

                ประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครที่ตอบแบบสอบถามมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือเพศหญิง (ร้อยละ 50.66) มีอายุอยู่ระหว่าง 30-49 ปี (ร้อยละ 43.57) สถานภาพสมรส (ร้อยละ 39.37) ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง (ร้อยละ 21.78) และอาชีพค้าขาย (ร้อยละ 19.69) ส่วนการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมนั้นประชาชนส่วนใหญ่มักจะไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม (ร้อยละ 53.81) ส่วนบุคคลที่เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมนั้นมีหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมที่มีความถี่สูงสุด คือการเป็นสมาชิกกลุ่มอาชีพ/กลุ่มแม่บ้านพ่อบ้าน (ร้อยละ 16.07) รองลงมาเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ (ร้อยละ 15.63) กลุ่ม/ชุมรมผู้สูงอายุ (ร้อยละ 14.29) สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (ร้อยละ 12.95) เป็นต้น บทบาทหน้าที่ในครอบครัวโดยส่วนใหญ่เป็นสมาชิกในครอบครัว/ผู้อาศัย (ร้อยละ 48.56) ส่วนบทบาทในชุมชน ส่วนใหญ่มีบทบาทในชุมชนโดยเป็นสมาชิกของชุมชนหรือลูกบ้าน (ร้อยละ 70.34) นอกจากนี้ผู้นำชุมชนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 70.45) มีอายุไม่เกิน 49 ปี (ร้อยละ 59.09) มีสถานภาพสมรสเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 95.45) ผู้นำชุมชนทุกคนนับถือพุทธศาสนา (ร้อยละ 100) มีอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว (ร้อยละ 40.91) ระดับการศึกษาส่วนใหญ่มีระดับการศึกษา ม.6/ปวช. (ร้อยละ 52.27) ส่วนรายได้ต่อเดือน อยู่ระหว่าง 5,001-10,000 บาท (ร้อยละ 72.73)

                การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมทางการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ (ค่าเฉลี่ย 1.99) ส่วนรายด้าน พบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองเพียง 2 ระดับเท่านั้นได้แก่ ระดับปานกลาง และต่ำ ได้แก่ รายด้านที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ระดับปานกลาง คือ ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง (ค่าเฉลี่ย 2.72) ด้านการติดตามข่าวสารทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 2.44) และด้านการสนทนาเรื่องการเมือง (ค่าเฉลี่ย 2.32) ทั้งนี้รายด้านที่การมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ระดับต่ำ ได้แก่ ด้านการชุมนุมทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 1.57) ด้านการติดต่อกับนักการเมือง (ค่าเฉลี่ย 1.56) และด้านการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (ค่าเฉลี่ย 1.36) ดังตาราง 1 ดังต่อไปนี้

การมีส่วนร่วมทางการเมือง
Mean
S.D.
ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ด้านการติดตามข่าวสารทางการเมือง
2.44
0.59
ปานกลาง
ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง
2.72
0.74
ปานกลาง
ด้านการสนทนาเรื่องการเมือง
2.32
0.74
ปานกลาง
ด้านการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ
1.36
0.61
ต่ำ
ด้านการติดต่อกับนักการเมือง
1.56
0.64
ต่ำ
ด้านการชุมนุมทางการเมือง
1.57
0.69
ต่ำ
รวม
1.99
0.52
ต่ำ

ตาราง 1 แสดงค่าเฉลี่ยและระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม

 

สำหรับทัศนะทางการเมืองในด้านปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า ประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีระดับการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง รวมถึงความคิดเห็นทางการเมืองด้านต่าง ๆ อีก 3 ด้านได้แก่ ด้านวัฒนธรรมทางการเมือง ด้านลักษณะสภาพแวดล้อมทางการเมือง และด้านการพัฒนาทางการเมือง ของปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.86) เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า ประชาชนมีความคิดเห็นทางการเมืองอยู่ในระดับสูง มี 2 ด้าน ได้แก่ ด้านลักษณะสภาพแวดล้อมทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 3.05) และด้านการพัฒนาทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 3.01) ด้านปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีระดับความคิดเห็นทางการเมืองของปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมืองโดยภาพรวม อยู่ระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.92) เมื่อพิจารณาตามรายด้าน พบว่า รายด้านของปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมืองที่มีระดับความคิดเห็นทางการเมืองสูง ได้แก่ ด้านค่านิยมพื้นฐานทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และด้านอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (ค่าเฉลี่ย 3.09) และด้านพฤติกรรมทางการเมือง (ค่าเฉลี่ย 3.03) ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ และสถานภาพ ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัว และบทบาทหน้าที่ในชุมชน ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมือง ได้แก่ การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง และการพัฒนาทางการเมือง ปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมือง ได้แก่ ความสนใจทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง และการกล่อมเกลาทางการเมือง

                ทั้งนี้ปัจจัยที่น่าสนใจ มี 3 ปัจจัย ประกอบด้วย 1) ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมืองด้านการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีความสัมพันธ์เชิงปฏิฐาน(Positive Correlations) อยู่ในระดับปานกลางกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมืองด้านความสนใจทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีความสัมพันธ์เชิงปฏิฐาน(Positive Correlations) อยู่ในระดับปานกลางกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมืองด้านการกล่อมเกลาทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครมีความสัมพันธ์เชิงปฏิฐาน(Positive Correlations) อยู่ในระดับปานกลางกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

                รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร สามารถสรุปได้ว่า มีลักษณะเป็นลำดับขั้นฐานเจดีย์การมีส่วนร่วมทางการเมือง ตามบริบทของความยากง่ายในการเข้าถึงกิจกรรมทางการเมือง ดังภาพที่ 1

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


สนใจ ให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมน้อย
 



 
เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมือง
 
ดำเนินกิจกรรมหาเงินเข้าพรรคการเมือง
 
สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
 

การเข้าถึงยาก
ร่วมกิจกรรมของพรรคเช่นเข้าร่วมประชุม
 
บริจาคเงิน/สิ่งของช่วยเหลือพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง
 

การเข้าถึงค่อนข้างยาก
ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้นำทางการเมือง
 
ร่วมดำเนินกิจกรรมสาธารณะ และดูแลกิจกรรมของพรรคการเมือง
 

สนใจ ให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมปานกลาง
ช่วยรณรงค์หาเสียง
 
ร่วมประชาสัมพันธ์ทางการเมือง เช่น การสวมเสื้อหรือติดสติกเกอร์ที่รถยนต์
 
ร่วมการประชุม ฟังการหาเสียง แนะนำตัว หรือการชุมนุมทางการเมือง
 
พยายามพูดเชิญชวนให้ผู้อื่นไปเลือกผู้ที่ตนสนับสนุน
 

การเข้าถึงกิจกรรมง่าย
เป็นผู้เปิดประเด็นพูดคุยเรื่องการเมือง ให้ความรู้ผู้อื่น
 
แสดงตนเป็นผู้สนใจทางการเมืองเช่นรวมพูดคุยเรื่องการเมือง
ไปเลือกตั้งผู้แทนท้องถิ่น หรือ ส.ส. หรือ ส.ว.


สนใจ ให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมมาก



 

ไม่สนใจและไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดเลย

 

ภาพที่ 1 แสดงลำดับขั้นฐานเจดีย์การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ตามบริบทของความยากง่ายในการเข้าถึงกิจกรรมทางการเมือง ประยุกต์จากแนวคิดของถวิลวดี บุรีกุล (2543: 15) ที่ได้พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดของ Milbrath (1965) และ Roth และ Wilson (1980)

 

                ในด้านทัศนะทางการเมืองของผู้นำชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครต่อพฤติกรรมของประชาชนในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมทางการเมือง ลักษณะและกลุ่มที่มีบทบาททางการเมืองของผู้นำและประชาชนในชุมชน พบว่า ผู้นำชุมชนมีส่วนร่วมทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุด เช่น ชุมชนริมทางรถไฟสายแปดริ้ว, ชุมชนราชพัสดุ ชุมชนสวนอ้อยและชุมชนพิชัย ส่วนกลุ่มในชุมชนที่มีบทบาททางการเมืองมากที่สุด คือ กลุ่มผู้สูงอายุ พ่อค้า แม่ค้า พ่อบ้าน และแม่บ้าน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาชีพที่เป็นวินมอร์เตอร์ไซด์รับจ้าง เช่น ที่ชุมชนวัดญวน-คลองลำปัก ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 ชุมชนบางกระบือ 14 และชุมชนซอยโซดา 2) รูปแบบของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่า ผู้นำชุมชนส่วนใหญ่มีรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในลักษณะการไปเลือกตั้งทั้งในท้องถิ่น เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา นอกจากนี้การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง รูปแบบการรับฟังข่าวสารทางการเมือง และการไปร่วมแสดงออกในการชุมนุมประท้วง ซึ่งชุมชนที่แสดงบทบาทชัดเจน คือชุมชนวัดราชา ชุมชนศรีย่านซอย 3 ชุมชนถนนสุคันธาราม ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 3 ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 และชุมชนบางกระบือ 14 ทั้งนี้การแสดงรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งของผู้นำชุมชนและประชาชนจะแสดงออกมาทางรูปแบบอย่างเป็นทางการหรือถูกต้องตามกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้นำชุมชนและประชาชน พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากที่สุดคือ การรับข่าวสารจากสื่อต่าง ๆ ที่เป็นสถานการณ์ของบ้านเมือง รองลงมา คือความไม่เป็นธรรม การปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกัน (ชุมชนพระยาประสิทธิ์) และปัญหาเศรษฐกิจเรื่องปากท้อง รวมถึงความเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์บ้านเมือง (ชุมชนพิชัย) 4) ระดับและลักษณะของหน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน พบว่า หน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอยู่ในระดับมากที่สุดในเรื่องการประชาสัมพันธ์เพื่อการรณรงค์การเลือกตั้ง รองลงมาคือการเป็นส่วนหนึ่งในการหาเสียงของนักการเมือง ส่วนชุมชนที่หน่วยงานภาครัฐไม่มีการสนับสนุนทางการเมือง ได้แก่ ชุมชนสะพานเกษะโกมล ชุมชนวัดราชา ชุมชน ม.พัน 3 รอ. ชุมชนยานเกราะ ชุมชนถนนสุคันธาราม และชุมชนมิตรอนันต์ และ 5) ปัญหาอุปสรรคการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้นำชุมชน ภายในชุมชนและข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข พบว่า ผู้นำชุมชนส่วนใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่า ปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง คือ การขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง แบ่งฝ่ายแบ่งสี ขาดความสามัคคีในชุมชน

            ทั้งนี้จากผลการวิจัยทำให้ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองแนวคิดในการสร้างเจดีย์ซึ่งจะเริ่มต้นจากการสร้างฐานเจดีย์ให้มีความมั่นคงก่อนแล้วค่อย ๆ สร้างสูงขึ้นสู่ยอดเจดีย์ โดยเปรียบเทียบกับลำดับขั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดและมีส่วนร่วมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังภาพที่ 2 ต่อไปนี้

 

 

 

 

 

 


 
(0.52)
 

ดำเนินกิจกรรมหาเงินเข้าพรรคการเมือง

เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมือง

สนใจให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมน้อย เข้าถึงได้ยาก
 


 

 

 



สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ยอดเจดีย์
(1.57)
 

- ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้นำทางการเมือง (8.40)
- ร่วมดำเนินกิจกรรมสาธารณะ และดูแลกิจกรรมของพรรคการเมือง (9.19)
- ช่วยรณรงค์หาเสียง (11.81)
- ร่วมประชาสัมพันธ์ทางการเมือง เช่น การสวมเสื้อหรือติดสติกเกอร์ที่รถยนต์ (11.81)
- ร่วมการประชุม ฟังการหาเสียง แนะนำตัว หรือการชุมนุมทางการเมือง (14.44)
- พยายามพูดเชิญชวนให้ผู้อื่นไปเลือกผู้ที่ตนสนับ (14.44)

(4.72)

(4.72)
 

(4.20)
 

บริจาคเงิน/สิ่งของช่วยเหลือพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง

ร่วมกิจกรรมของพรรคเช่นเข้าร่วมประชุม

สนใจให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมปานกลาง เข้าถึงได้ค่อนข้างยาก



 

 

 

 

 

 

 

 


กลางเจดีย์

 

 

 

 


เป็นผู้เปิดประเด็นพูดคุยเรื่องการเมือง ให้ความรู้ผู้อื่น (17.85)

สนใจให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมมาก เข้าถึงได้ง่าย
 


 



แสดงตนเป็นผู้สนใจทางการเมืองเช่นรวมพูดคุยเรื่องการเมือง (30.71)
ฐานเจดีย์              



ไปเลือกตั้งผู้แทนท้องถิ่น หรือ ส.ส. หรือ ส.ว. (75.07)
                               


 

 


ใต้ฐานเจดีย์                           ไม่สนใจและไม่เข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ เลย  (35.96)

 

ภาพที่ 2 การประยุกต์แนวคิดการสร้างเจดีย์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

 

 

อภิปรายผล (Discussion of Research)

การมีส่วนร่วมทางเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ เมื่อพิจารณาจากรายด้าน 6 ด้าน มีเพียง 2 ระดับเท่านั้น คือระดับปานกลางและระดับต่ำ นั่นเป็นเพราะว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน มีอาชีพรับจ้าง ค้าขาย รับราชการเป็นหลัก จึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับกิจกรรมการเมืองอื่น ๆ ซึ่งตรงกับระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ชี้ให้เห็นว่าการเข้าร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การเขียนเรื่องร้องทุกข์ เสนอปัญหาไปยังนักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำทางการเมืองและหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ รวมถึงการชุมนุมทางการเมือง การฟังปราศรัยหาเสียง และการติดต่อกับนักการเมืองนั้นมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับต่ำทุกข้อ โดยประชาชนให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองน้อยกว่าการประกอบอาชีพ หรือเรื่องปากท้อง และคิดว่าเรื่องการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องของตนเองที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะว่าตนเองเป็นเพียงลูกบ้านชาวบ้านทั่วไปในชุมชนเท่านั้นและเบื่อหน่ายนักการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับผลการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชน ที่ว่า “ประชาชนมีความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์ทางการเมือง จึงทำให้ประชาชนลดระดับความสนใจทางการเมืองลงมาก” (สามารถ อำพันหอม, 2553 : สัมภาษณ์) และสอดคล้องกับแนวคิดของ พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต (2541 : 143) กล่าวว่าการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นการแสดงออกในลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ที่แทบไม่ต้องลงทุน ด้านแรงงานหรือกำลังทรัพย์แต่การที่คนไม่ออกไปใช้สิทธินั้นอาจเกิดจากความเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แย่งชิงผลประโยชน์และแตกแยกกันเองของนักการเมือง จึงไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เมื่อพิจารณาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยภาพของเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งตรงกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552 พบว่า เขตดุสิตมีสถิติของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต น้อยที่สุด และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ กิจฎิภันส์ ยศปัญญา (2547 : 61) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณี ประชาชนในหมู่บ้านสินธนา 1 เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่ในระดับต่ำ และผลการวิจัยของศุภวัธ มีบุญธรรม (2547 : 73) ศึกษาเรื่อง การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา : ศึกษาเฉพาะกรณีนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับต่ำ

                นอกจากนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ และสถานภาพ ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ อาชีพ การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม บทบาทหน้าที่ในครอบครัว และบทบาทหน้าที่ในชุมชน ปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการเมือง ได้แก่ การรับรู้ข่าวสารทางการเมือง และการพัฒนาทางการเมือง ปัจจัยทางจิตวิทยาทางการเมือง ได้แก่ ความสนใจทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง และการกล่อมเกลาทางการเมือง  ซึ่งปัจจัยด้านอาชีพ ผลการศึกษาปรากฏว่า ประชาชนที่มีอาชีพแตกต่างกันมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยประชาชนที่มีอาชีพรับราชการและข้าราชการบำนาญ/เกษียณอายุราชการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าประชาชนที่มีอาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ และอาชีพนักศึกษา ทั้งในด้านการติดตามข่าวสารทางการเมือง ด้านการใช้สิทธิเลือกตั้ง ด้านการสนทนาเรื่องการเมือง ด้านการติดต่อกับนักการเมือง ส่วนปัจจัยด้านการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม ผลการศึกษาปรากฏว่า ประชาชนที่เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมแตกต่างกันมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานครแตกต่างกันทั้งภาพรวมและรายด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความสัมพันธ์เชิงปฏิฐาน(Positive Correlation) กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุพินดา เกิดมาลี (2547 : 58) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีในเขตพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมมีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี ในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลเขตอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง และการพัฒนาทางการเมือง ความสนใจทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง และการกล่อมเกลาทางการเมือง มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองทั้งสิ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ถวิลวดี บุรีกุลและคณะ (2546 : 6-7) ศึกษาเรื่อง โครงการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลและองค์กรอิสระ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้แก่ ข่าวสารและความสนใจทางการเมือง โดยที่การได้รับข่าวสารและความสนใจทางการเมืองมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วย

 

ข้อเสนอแนะ (Research Recommendations)

หน่วยงานภาครัฐ หรือผู้นำชุมชนและคณะกรรมการชุมชน ควรมุ่งส่งเสริมไปยังกลุ่มเยาวชน นักศึกษา วัยทำงาน ที่มีอายุ    18-29 ปี เนื่องจากมีส่วนร่วมทางการเมืองน้อยที่สุด โดยต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองของชุมชนให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ได้มีโอกาสแสดงบทบาทของตนเองเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการตระหนักของนักการเมืองท้องถิ่น หรือผู้นำชุมชนในการเข้าไปรับฟังปัญหาของประชาชนอย่างทั่วถึงและนำไปปฏิบัติจริง มิใช่รับแล้วไม่ปฏิบัติให้บรรลุผล ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองเพิ่มขึ้น เนื่องจากการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนและประชาชน ได้พบว่า นักการเมืองจะมาก็ต่อเมื่อมาหาเสียงเท่านั้น ไมเคยมารับฟังปัญหาของชาวบ้านจริง ๆ และไม่เคยทำให้สำเร็จได้เลย จึงส่งผลต่อการไม่อยากมีส่วนร่วมทางการเมืองและทำให้เสียเวลาด้วย โดยสุดท้ายสิ่งที่จะต้องแสดงเสมอเมื่อจัดกิจกรรม คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกอาชีพ ทุกตำแหน่งทางสังคมมีความเสมอภาค ยุติธรรม และไม่ควรปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม หรือเท่าเทียมกัน เนื่องจากประชาชนในหลายชุมชนได้สะท้อนออกให้เห็นว่า ยินดีไปชุมนุมประท้วงทันทีเมื่อภาครัฐและหน่วยงานของรัฐแสดงถึงความไม่เป็นธรรม

 

การอ้างอิง (References)

กิจฎิภันส์ ยศปัญญา. 2547. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณี ประชาชนในหมู่บ้านสินธนา 1 เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญารัฐประศาสนศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยบูรพา.

เกรียงศักดิ์ เรืองสังข์. 2544. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลตำบล จังหวัดพัทลุง. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลป ศาสตรมหาบัณฑิต(รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ถวิลวดี บุรีกุลและคณะ. 2546. โครงการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลและองค์กรอิสระ. ชุดโครงการวิจัยเรื่อง การติดตามและประเมินผลบังคับใช้รัฐธรรมนูญ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).

ทินพันธ์ นาคะตะ. 2543. ประชาธิปไตยไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และถวิลวดี บุรีกุล. 2548. ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม. กรุงเทพมหานคร : สถาบันพระปกเกล้า.

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต. 2541. ชนชั้นกับการเลือกตั้ง. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วิภาษา.

ภาวิณี โพธิ์มั่น. 2543. รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตำบล : ศึกษาเฉพาะกรณีตำบลขุนคง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

มนัสชัย บำรุงเขต. 2550. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมการเมืองระดับท้องถิ่นของประชาชนในองค์การบริหารส่วนตำบลบางซ้าย อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. การศึกษาอิสระปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ราชกิจจานุเบกษา. 2550. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. [Online] accessed 8 October 2009. Available from http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/A/047/1.PDF

ฤทัยรัตน์ กากิ่ง. 2543. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น : ศึกษาเฉพาะกรณี เทศบาลตำบลพระสมุทรเจดีย์ อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ละออ  เมืองเกษม. (2553, 29 มีนาคม). คณะกรรมการชุมชนริมทางรถไฟสายแปดริ้ว. สัมภาษณ์.

ศุภวัธ มีบุญธรรม. 2547. การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา : ศึกษาเฉพาะกรณีนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) สาขารัฐศาสตร์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์. 2549. การเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร : เสมาธรรม.

สมบูรณ์ แก้วอนุรักษ์. (2553, 29 มีนาคม). หัวหน้าชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4. สัมภาษณ์.

สัญญา แสงทอง. (2553, 1 เมษายน). ประชาชนชุมชนพิชัย. สัมภาษณ์.

สามารถ อำพันหอม. (2553, 30 มีนาคม). เลขานุการชุมชนราชพัสดุ. สัมภาษณ์.

สุธาทิพย์ ฉั่วสกุล. 2541. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่น : ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

สุพินดา เกิดมาลี. 2547. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีในเขตพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปะศาสตร มหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.

กรรมการการเลือกตั้งประจำท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร. 2552. รายงานความคืบหน้าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง และส่งหีบบัตรผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปี 2552 เรียงตามร้อยละผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552. [อัดสำเนา]

อมร รักษาสัตย์ และคณะ. 2543. ประชาธิปไตย อุดมการณ์ หลักการและแบบอย่างการปกครองหลายประเทศ. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

Lester W. Milbrath and M. L. Goal. 1977. Political Participation : How and Why Do People Get Involved in Politics. Chicago : Rand McNally College Publishing Company.

Myron Wiener. 1971. “Political Participation : Crisis of the  Political Process” in Crisis on Sequences in Political Development. Princeton: Princeton University Press.