วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สาระสำคัญของรายวิชา : SIM4102 จริยธรรมในการบริหารจัดการ

Course Syllabus : SIM4102 Management Ethics
หน่วยกิต : 3(3-0-6) ภาคเรียนที่ : 1/2553 อาจารย์ผู้สอน : ภูสิทธ์ ขันติกุล (Phusit Khantikul)
โปรแกรมวิชา : การจัดการนวัตกรรมสังคม (Social Innovation Management)
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Faculty of Humanities and Social Sciences)

คำอธิบายรายวิชา : ศึกษาแนวความคิดและความสำคัญของจริยธรรมในการบริหารจัดการ จริยธรรมกับธรรมาภิบาลหรือบรรษัทภิบาล จริยธรรมกับความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเน้นศึกษาประมวลจริยธรรม (Code of Conduct and Code of Ethics) ขององค์กรภาครัฐและองค์กรภาคชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาสังคมแห่งอนาคต

จุดประสงค์ : เพื่อให้นักศึกษามีความรู้และเข้าใจในแนวความคิดและความสำคัญเกี่ยวกับจริยธรรม คุณธรรมในการบริหารจัดการโดยเริ่มต้นจากจริยธรรมในตนเอง ในหน้าที่การงานขององค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน จริยธรรมต่อสังคม จริยธรรมของผู้นำ รวมถึงหลักของธรรมาภิบาล รู้และเข้าใจในประมวลจริยธรรมของวิชาชีพต่าง ๆ ที่ต้องยึดถือทั้งครู แพทย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีผลต่อสังคมส่วนร่วม รวมถึงศึกษาจริยธรรมขององค์กรระหว่างประเทศเช่น สหประชาชาติ เป็นต้น

เค้าโครงรายวิชา(Course Outline)






สื่อการเรียนการสอน :คอมพิวเตอร์, PPT., VCD, Over head, เอกสารประกอบการสอนและตำรา,ข่าวจากหนังสือพิมพ์, บทความทางวิชาการ, ผลงานวิจัย, วิทยนิพนธ์ สาระนิพนธ์ ภาคนิพนธ์ และWebsite ที่เกี่ยวข้อง [online]
การวัดผล :
1. คะแนนพฤติกรรมการเรียน 10 คะแนน
2. คะแนนภาคปฏิบัติ
- รายงานเอกสาร(กลุ่ม) 10 คะแนน
- กิจกรรมของสาขาวิชา 10 คะแนน
- แบบฝึกหัด(เดี่ยว) 10 คะแนน
- รายงานกลุ่มภาคพื้นที่(กลุ่ม) 10 คะแนน
3. คะแนนสอบกลางภาค 20 คะแนน
4. คะแนนสอบปลายภาค 30 คะแนน
รวมคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน

เกณฑ์การวัดผล :






กิจกรรมการเรียนการสอน : ลักษณะการบรรยาย การอภิปรายหรือเสวนากลุ่มย่อย การจัดทำรายงานเดี่ยว และกลุ่ม ศึกษาพื้นที่กลุ่มเป้าหมายและนำเสนอ การฝึกคิดวิเคราะห์ สรุปผล และถามตอบ
หนังสืออ่านประกอบ :
1. ชาญชัย อาจินสมาจาร. จริยธรรมทางธุรกิจ. กรุงเทพมหานคร : ปัญญาชน, 2552.
2. ปราชญา กล้าผจัญ. คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ. กรุงเทพมหานคร : บริษัทสำนักพิมพ์ข้าวฟ่าง จำกัด, 2544.
3. พิภพ วชังเงิน. จริยธรรมวิชาชีพ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท รวมสาส์น(1977) จำกัด, 2545.
4. วริยา ชินวรรณโณ. บรรณาธิการ. จริยธรรมในวิชาชีพ. กรุงเทพมหานคร : ชวนพิมพ์, 2546.
5. สิวลี ศิริไล. จริยศาสตร์สำหรับพยาบาล. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
6. ธานินทร์ กรัยวิเชียร, มุนินทร์ พงศาปาน. หลักวิชาชีพนักกฎหมายในประเทศที่ใช้กฎหมายระบบคอมมอนลอว์. กรุงเทพมหานคร : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2549.
7. จินตนา บุญบงการ. จริยธรรมทางธุรกิจ. พิมพค์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552.
8. จำเนียร จวงตระกูล. จริยธรรมกับการบริหารธุรกิจ. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์กฎหมายธุรกิจ อินเตอร์เนชั่นแนล, 2549.
สถานที่ติดต่อ :โปรแกรมวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม อาคาร 36 ห้อง พักอาจารย์ และโทรติดต่อ 08-3177-5973
ข้อมูลบทความของ อ.ภูสิทธ์ ขันติกุลเกี่ยวกับวิชาที่เรียน ให้เข้าเว็บไซด์นี้นะ www.kunphoolive.blogspot.com

สาระสำคัญของรายวิชา : SIM3102 การจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี

Course Syllabus : SIM3102 Conflict Management and Peace Resolution
หน่วยกิต : 3(3-0-6) ภาคเรียนที่ : 1/2553 อาจารย์ผู้สอน : ภูสิทธ์ ขันติกุล (Phusit Khantikul)
โปรแกรมวิชา : การจัดการนวัตกรรมสังคม (Social Innovation Management)
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Faculty of Humanities and Social Sciences)

คำอธิบายรายวิชา : ศึกษาแนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับความหมาย วิวัฒนาการ ปรัชญา ลักษณะและสาเหตุของความขัดแย้ง รูปแบบของความขัดแย้ง กระบวนการในการจัดการความขัดแย้ง ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความขัดแย้ง การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง โดยเน้นการศึกษารูปแบบ แนวทาง เทคนิคและวิธีการในการจัดการความขัดแย้งโดยสันติ และใช้กรณีศึกษาการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีรวมถึงนวัตกรรมของการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี ทั้งในและต่างประเทศ

จุดประสงค์ : เพื่อให้นักศึกษามีความรู้และเข้าใจในแนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับความขัดแย้ง รู้และเข้าใจในแนวคิดของนักคิดต่าง ๆ ต่อความขัดแย้งทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความขัดแย้งอย่างชัดเจนตามกรณีศึกษาต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจ รู้จักวิเคราะห์และแสวงหาวิธีการแก้ไขปัญหาความแข้งโดยสันติวิธีรวมถึงมีความรู้และเข้าใจในรูปแบบ แนวทาง เทคนิคและวิธีการในการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี ตลอดจนสามารถวิเคราะห์แนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมในการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธีที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร ชุมชน สังคมนั้น ๆ ด้วย

เค้าโครงรายวิชา(Course Outline)






สื่อการเรียนการสอน :คอมพิวเตอร์, PPT., VCD, Over head, เอกสารประกอบการสอนและตำรา, ข่าวจากหนังสือพิมพ์, บทความทางวิชาการ, ผลงานวิจัย, วิทยนิพนธ์ สาระนิพนธ์ ภาคนิพนธ์ และWebsite ที่เกี่ยวข้อง [online]
การวัดผล :
1. คะแนนพฤติกรรมการเรียน 10 คะแนน
2. คะแนนภาคปฏิบัติ
- รายงานเอกสาร(กลุ่ม) 10 คะแนน
- กิจกรรมของสาขาวิชา 10 คะแนน
- แบบฝึกหัด(เดี่ยว) 10 คะแนน
- รายงานกลุ่มภาคพื้นที่(กลุ่ม) 10 คะแนน
3. คะแนนสอบกลางภาค 20 คะแนน
4. คะแนนสอบปลายภาค 30 คะแนน
รวมคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน

เกณฑ์การวัดผล :




กิจกรรมการเรียนการสอน : ลักษณะการบรรยาย การอภิปรายหรือเสวนากลุ่มย่อย การจัดทำรายงานเดี่ยว และกลุ่ม ศึกษาพื้นที่กลุ่มเป้าหมายและนำเสนอ การฝึกคิดวิเคราะห์ สรุปผล และถามตอบ
หนังสืออ่านประกอบ :
1. ไซ แลนดัว และคณะ. การจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ (แปลและเรียบเรียงโดย นรินทร์ องค์อินทรีและธนิกานต์ มาฆะศิรานนท์). กรุงเทพมหานคร : ธรรกมลการพิมพ์, 2549.
2. ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี. การจัดการความขัดแย้งในองค์กร. กรุงเทพมหานคร : บริษัทออฟเซ็ท ครีเอชั่น จำกัด, 2550.
3. แดเนียล ดานา. กลยุทธ์หยุดความขัดแย้ง (แปลและเรียบเรียงโดย จรรยา พุคยาภรณ์ และศนินุช สวัสดิโกศล). กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แมคกรอ-ฮิล, 2549.
4. พัชรี สิโรรส. บรรณาธิการ. ความขัดแย้งในสังคมไทย ยุควิกฤตเศรษฐกิจ. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2542.
5. ศุภรา จันทร์ชิดฟ้า. ความรุนแรงในสายหมอก. กรุงเทพมหานคร : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2549.
6. อุทัย ดุลยเกษม และเลิศชาย ศิริชัย. บรรณาธิการ. ความรู้กับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอดิสัน เพรส โปรดักส์ จำกัด, 2548.
7. พระไพศาล วิสาโล. สันติวิธี วิถีแห่งอารยะ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2549.
8. ทวีศักดิ์ สุวคนธ์. คัมภีร์ผู้นำวิถีสู่สันติ. กรุงเทพมหานคร : พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์, 2549.
สถานที่ติดต่อ :โปรแกรมวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม อาคาร 36 ห้อง พักอาจารย์ และโทรติดต่อ 08-3177-5973
ข้อมูลบทความของ อ.ภูสิทธ์ ขันติกุลเกี่ยวกับวิชาที่เรียน ให้เข้าเว็บไซด์นี้นะ www.kunphoolive.blogspot.com

สาระสำคัญของรายวิชา : SIM 2101 ประชาสังคมและเครือข่ายทางสังคม

Course Syllabus : SIM 2101 Civil Society and Social Network
หน่วยกิต : 3(3-0-6) ภาคเรียนที่ : 1/2553 อาจารย์ผู้สอน : ภูสิทธ์ ขันติกุล (Phusit Khantikul)
โปรแกรมวิชา : การจัดการนวัตกรรมสังคม (Social Innovation Management)
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Faculty of Humanities and Social Sciences)

คำอธิบายรายวิชา : ศึกษาความหมาย แนวคิดทฤษฎีกระบวนการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจสังคมการเมือง ตลอดจนผลกระทบของการพัฒนาตามกระแสโลกที่มีต่อสังคมไทย รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกของกระบวนการพัฒนา เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

จุดประสงค์ : เพื่อให้นักศึกษามีความรู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานของประชาสังคมและเครือข่ายทางสังคม รู้จักวิเคราะห์ประชาสังคมและเครือข่ายทางสังคมในมิติทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม และมีความรู้และเข้าใจ วิเคราะห์ ถึงรูปแบบรูปแบบการรวมตัว การแสดงบทบาทต่อสาธารณะ แบบแผนความสัมพันธ์และผลกระทบต่อการบริหารภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดต้องศึกษากระบวนการการคงอยู่ของประชาสังคมและเครือข่ายทางสังคมไทยและเทศ

เค้าโครงรายวิชา(Course Outline)












สื่อการเรียนการสอน :คอมพิวเตอร์, PPT., VCD, Over head, เอกสารประกอบการสอนและตำรา, ข่าวจากหนังสือพิมพ์, บทความทางวิชาการ, ผลงานวิจัย, วิทยนิพนธ์ สาระนิพนธ์ ภาคนิพนธ์ และWebsite ที่เกี่ยวข้อง [online]
การวัดผล :
1. คะแนนพฤติกรรมการเรียน 10 คะแนน
2. คะแนนภาคปฏิบัติ
- รายงานเอกสาร(กลุ่ม) 10 คะแนน
- กิจกรรมของสาขาวิชา 10 คะแนน
- แบบฝึกหัด(เดี่ยว) 10 คะแนน
- รายงานกลุ่มภาคพื้นที่(กลุ่ม) 10 คะแนน
3. คะแนนสอบกลางภาค 20 คะแนน
4. คะแนนสอบปลายภาค 30 คะแนน
รวมคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน



กิจกรรมการเรียนการสอน : ลักษณะการบรรยาย การอภิปรายหรือเสวนากลุ่มย่อย การจัดทำรายงานเดี่ยว และกลุ่ม ศึกษาพื้นที่กลุ่มเป้าหมายและนำเสนอ การฝึกคิดวิเคราะห์ สรุปผล และถามตอบ
หนังสืออ่านประกอบ :
1. ธีรยุทธ บุญมี. ประชาสังคม. กรุงเทพมหานคร : สายธาร, 2547.
2. อเนก เหล่าธรรมทัศน์. ประชาสังคมประสบการณ์จากการอ่านและสอนที่จอห์นส์ ฮอปกินส์. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร : Tipping Point Press, 2546.
3. อนุชาติ พวงสำลี และกฤตยา อาชวนิจกุล(บรรณาธิการ). ขบวนการประชาสังคมไทย : ความเคลื่อนไหวภาคพลเมือง. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหิดล, 2542.
4. ประภาส ปิ่นตบแต่ง. ก่อนภาคประชาชนล่มสลาย. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ Way of Book, 2551.
สถานที่ติดต่อ :โปรแกรมวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม อาคาร 36 ห้อง พักอาจารย์ และโทรติดต่อ 08-3177-5973
ข้อมูลบทความของ อ.ภูสิทธ์ ขันติกุลเกี่ยวกับวิชาที่เรียน ให้เข้าเว็บไซด์นี้นะ www.kunphoolive.blogspot.com

สาระสำคัญรายวิชา : SIM1104 กระบวนทัศน์พัฒนาสังคมพื้นฐาน

Course Syllabus : SIM1104 Basic Social Development Paradigm
หน่วยกิต : 3(3-0-6) ภาคเรียนที่ : 1/2553 อาจารย์ผู้สอน : ภูสิทธ์ ขันติกุล (Phusit Khantikul)
โปรแกรมวิชา : การจัดการนวัตกรรมสังคม (Social Innovation Management)
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Faculty of Humanities and Social Sciences)

คำอธิบายรายวิชา : ศึกษาความหมาย แนวคิดทฤษฎีกระบวนการพัฒนา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจสังคมการเมือง ตลอดจนผลกระทบของการพัฒนาตามกระแสโลกที่มีต่อสังคมไทย รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกของกระบวนการพัฒนา เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

จุดประสงค์ : เพื่อให้นักศึกษามีความรู้และเข้าใจในแนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับกระบวนทัศน์การพัฒนาชุมชน พร้อมทั้งมีความรู้และเข้าใจในแนวคิดทฤษฎีการพัฒนาสังคม รู้จักวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงผลกระทบของการพัฒนาสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์ สามารถรู้และเข้าใจแก่นของการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ตลอดจนสังเคราะห์ความรู้ที่ได้จากการเรียนวางแนวทางในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างเข้าใจ
เค้าโครงรายวิชา(Course Outline)














สื่อการเรียนการสอน :คอมพิวเตอร์, PPT., VCD, Over head, เอกสารประกอบการสอนและตำรา, ข่าวจากหนังสือพิมพ์, บทความทางวิชาการ, ผลงานวิจัย, วิทยนิพนธ์ สาระนิพนธ์ ภาคนิพนธ์ และWebsite ที่เกี่ยวข้อง [online]
การวัดผล :
1. คะแนนพฤติกรรมการเรียน 10 คะแนน
2. คะแนนภาคปฏิบัติ
- รายงานเอกสาร(กลุ่ม) 10 คะแนน
- กิจกรรมของสาขาวิชา 10 คะแนน
- แบบฝึกหัด(เดี่ยว) 10 คะแนน
- รายงานกลุ่มภาคพื้นที่(กลุ่ม) 10 คะแนน
3. คะแนนสอบกลางภาค 20 คะแนน
4. คะแนนสอบปลายภาค 30 คะแนน
รวมคะแนนทั้งหมด 100 คะแนน
เกณฑ์การวัดผล :







กิจกรรมการเรียนการสอน : ลักษณะการบรรยาย การอภิปรายหรือเสวนากลุ่มย่อย การจัดทำรายงานเดี่ยว และกลุ่ม ศึกษาพื้นที่กลุ่มเป้าหมายและนำเสนอ การฝึกคิดวิเคราะห์ สรุปผล และถามตอบ
หนังสืออ่านประกอบ :
1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. การพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทไทย. กรุงเทพมหานคร : สหมิตรปริ้นติ้ง, 2546.
2. จิตจำนง กิติกีรติ. การพัฒนาชุมชน. กรุงเทพมหานคร : คุณพินอักษรกิจ, มปป.
3. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่สิบ (พ.ศ. 25550-2554). กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.เจ.พริ้นติ้ง., 2549.
4. นภาภรณ์ หะวานนท์ และคณะ. ทฤษฎีฐานรากในเรื่องความเข้มแข็งของชุมชน. กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), 2550.
5. กระทรวงศึกษาธิการ. ทฤษฎีใหม่ในหลวงชีวิตที่พอเพียง. กรุงเทพมหานคร : ร่วมด้วยช่วยกัน, 2542.
6. สิริลักษณ์ ยิ้มประสาทพร. กระบวนทัศน์ใหม่กับการเรียนรู้ของชุมชน. กรุงเทพมหานคร : โครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข, 2548.
7. สัญญา สัญญาวิวัฒน์. ทฤษฎีและกลยุทธ์การพัฒนาสังคม. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2549.
8. ศรีศักร วัลลิโภดม. พัฒนาการทางสังคม-วัฒนธรรมไทย. กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2544.
9. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการบริหารการพัฒนา. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2545.
10. จามะรี เชียงทอง. สังคมวิทยาการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, 2549.
สถานที่ติดต่อ :โปรแกรมวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม อาคาร 36 ห้อง พักอาจารย์ และโทรติดต่อ 08-3177-5973
ข้อมูลบทความของ อ.ภูสิทธ์ ขันติกุลเกี่ยวกับวิชาที่เรียน ให้เข้าเว็บไซด์นี้นะ
www.kunphoolive.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิถีชีวิตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

The ways of life in Wat Pracharabuedham Community of Dusit District, Bangkok.

ภูสิทธ์ ขันติกุล
อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มุ่งศึกษาลักษณะของชุมชนในบริบททางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ สำรวจ และสังเกตจากผู้นำชุมชนและประชาชนในชุมชนวัดประชาระบือธรรม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบผลการศึกษาดังนี้
สภาพทั่วไปและลักษณะของชุมชน พบว่า ชุมชนวัดประชาระบือธรรม แบ่งออก 4 ชุมชน ซึ่งในอดีตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เป็นชุมชนเดียวกันโดยมีสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม ทุ่งหญ้า และสวนผลไม้ มีลำคลองสายสำคัญในการดำรงชีวิต ชื่อว่า “คลองบางกระบือ” เป็นสายน้ำที่ประชาชนใช้ทั้งอุปโภคและบริโภค ซึ่งในขณะนั้นประชาชนประกอบอาชีพทำนา และทำการเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงการทำสวนผลไม้ ประเภททุเรียน มะพร้าว กระท้อน เป็นต้นและยังมีการเลี้ยงสัตว์ จำพวกวัว และกระบือมากมาย จนทำให้ชุมชนนี้มีชื่อเสียงในเรื่องการเลี้ยงกระบือที่มีพันธุ์ดีและแข็งแรง ประชาชนทั่วไปจึงเรียกกันว่า “หมู่บ้านบางกระบือ” ครั้นต่อมาชาวบ้านได้ร่วมกันสร้าง “วัดประชาระบือธรรม” ขึ้น และมีโรงเรียนวัดประชาระบือธรรมตามมา จนในที่สุดประชาชนได้ประสานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ให้มีการดำเนินการจัดตั้งเป็นชุมชนขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “ชุมชนวัดประชาระบือธรรม” ตามชื่อของวัด และโรงเรียนที่มีอยู่เดิม เมื่อประชากรมากขึ้นพื้นที่ขยายเพิ่มขึ้นจนก่อให้เกิดการแบ่งชุมชนย่อยเพื่อสะดวกในการบริหารจัดการและสามารถดูแลกันได้อย่างทั่วถึง เป็น 4 ชุมชน โดยครั้งแรกแบ่งเป็น ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1-3 ก่อน และต่อมาจึงเกิดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 ตามมา
ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 ตั้งอยู่บนพื้นที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นชุมชนที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ความเจริญในด้านต่าง ๆ จากภายนอกไหลเข้าสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นชุมชนเมือง ส่วนชุมชนวัดประชาระบือธรรม 2 และ 3 ทั้ง 2 ชุมชนตั้งอยู่บนพื้นที่อันเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน และพื้นที่ส่วนบุคคล มีสภาพทั่วไปของชุมชนเป็นลักษณะของชุมชนเมืองแต่มีบางพื้นที่ที่ประชาชนอยู่กันหนาแน่นมากจนกลายเป็นชุมชนแออัดด้วย และชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 เป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของเอกชนมีบริษัทเอกชนเป็นเจ้าของและได้มีการปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ 120 คูหาขึ้น เพื่อขายให้กับประชาชน จึงทำให้มีการซื้อขายกันจากหลากหลายพื้นที่ คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้จึงเป็นทั้งคนในพื้นที่ชุมชนใกล้เคียงในเขตดุสิต และคนต่างจังหวัดเข้ามาซื้อเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพในชุมชนด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพจากสภาพเดิมไป นั่นก็คือปัจจัยการสร้างถนนหนทางสายสำคัญ คือ ถนนพระราม 5 ตัดผ่าน และการเป็นพื้นที่เปิดที่สามารถเข้าถึงชุมชนได้อย่างหลากหลายรูปแบบทั้งทางบกและทางน้ำ ปัจจุบันไม่มีการเดินทางด้วยเส้นทางน้ำแล้ว จะมีเฉพาะเส้นทางบกเท่านั้น ซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่ชุมชนได้ทั้งทางด้านถนนพระราม 5 และถนนสามเสน
บริบททางเศรษฐกิจและสังคม พบว่า จากชุมชนขนาดเล็กในอดีตกลายเป็นชุมชนมีขนาดใหญ่ ๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชากรในชุมชนเพิ่มมากขึ้นทิศทางในการประกอบอาชีพมีความหลากหลายมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งมีทั้งอาชีพเกิดขึ้นอยู่กับบ้าน เช่นอาชีพรับจ้าง ค้าขาย ธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ และอาชีพที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านนอกชุมชน เช่นอาชีพรับราชการ พนักงานบริษัทเอกชน และหน่วยงานรัฐ ทั้งนี้การดูแลทุกข์สุขของประชาชนยังมีคณะกรรมการชุมชนเป็นตัวแทนของคนในชุมชน ดูแลบริหารจัดการภายในชุมชนได้เป็นอย่างดี
บริบททางวัฒนธรรม พบว่า วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อของประชาชนในชุมชน เป็นความเชื่อ ความศรัทธาที่ถือตามคติของพุทธศาสนาเป็นหลัก เป็นเพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา เหตุผลสำคัญคือประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชุมชนนี้มาพร้อม ๆ กับการตั้งวัดประชาระบือธรรม ทุกคนจึงนับว่ามีวัดเป็นศูนย์กลางในการยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด ภายหลังได้มีประชาชนบางส่วนย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ก็มักจะนำวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อของตัวเองติดมาด้วย แต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ไม่มีการขัดแย้งใด ๆ ในเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อส่วนบุคคล ส่วนวัฒนธรรมประเพณีที่ประชาชนในชุมชนยึดปฏิบัติกันมาตั้งแต่ตั้งชุมชน คือ การทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ และประเพณีวันสงกรานต์
คำสำคัญ: วิถีชีวิต, ชุมชนวัดประชาระบือธรรม, เขตดุสิต

ABSTRACT
This research aims to study the community characteristics in term of social concept Economy and Culture, by using interview, survey and observation. The sample groups are the leaders and the people in Wat Pracharabuedham Community (Pracharabuadham Temple Community), Dusit, Bangkok. The research result is that: in former time, Wat Pracharabuedham community is a unity community. The location was a flat with grassland and fruit garden. “Klong Bangkrabue” was the main canal of the community life style. The people consumed water from this canal for rice farming which was their principal occupation at that time; for gardening, such as durian, coconut, santol etc; for animal farming, such as cow and buffalo. One of their reputation was they had good quality buffalo farming, so the community was named “krabue Village”. Afterward, Wat Pracharabuedham was established and shortly they opened a school named “Wat Pracharabuedham School”.
Furthermore, the community was approved to be an public community “Wat Pracharabuedham Community”, by the authority organization concerned. When the number of the people in the community was increased, the area was also increased. To make it simple for community management and supervision, they decided to break the community into 4 groups. First, there were only Wat Pracharabuedham Community 1-3, and then followed by Wat Pracharabuedham Community 4.
Wat Pracharabuedham Community 1 was situated on the land of Religion Department, Ministry of Education. It was a constant developed and city community as various outside progresses rapidly penetrated into.
Wat Pracharabuedham Community 2 and 3 were situated on the private land. The general community feature was city communities. Certain areas were very crowded so they became crowded community.
Wat Pracharabuedham Community 4 was situated on the land belonging to a private company. The commercial construction buildings with 120 units were sold to people in the community, some from Dusit District, a nearby community, and some from other provinces. They used the building as a living and working place.
The obvious factors which changed the old community were: the main road, Rama V Road, which was constructed through the community. It was an open and easily access by car or boat. But nowadays, the latter is not available, only car or other road transports are. They can access to the community by Rama V Road or Samsen Road.
The economic and social conception of the community is that the small community in the past became rapidly larger. As the number of the population in the community went up, various occupation path directions were also increased: working at home, such as services, commercial, small business, and also working in the office, such as government services, company employee in a private or public organizations. The community committees, as the representatives of the community, took responsibilities on the members’ living, and internal management.
The culture and traditional conception is that the people have a belief in accordance with their Buddhist faith, since most of the people are Buddhists and they involved in Wat Pracharabuedham establishment. The temple is always as everybody’s mind center.
Afterward, there were some people moving in and brought in their own culture, tradition, and belief, however, it was similar to the old people. There was no conflict between them. The culture and tradition that the people respect since the establishment are New Year Celebration and Songkran Festival.
Keywords: Ways of life, Wat Pracharabuedham Community, Dusit District

บทนำ (Introduction)
ราวพุทธศักราช 2441 พื้นที่ทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานครในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ใช้เงินพระคลังข้างที่อันเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ได้ตัดสินพระทัยซื้อที่สวนต่อท้องนาสามเสนจากราษฎรตามราคาอันสมควร มีเนื้อที่ตั้งแต่คลองผดุงกรุงเกษมทางทิศใต้ไปจดคลองสามเสนทางทางทิศเหนือของพระนครด้านตะวันออกจดทางรถไฟ พระราชทานตำบลนี้ว่า “สวนดุสิต” หลังจากนั้นพระองค์ทรงเริ่มให้มีการขุดคลอง ทำสะพานสร้างพระอุทยาน ปลูกไม้ยืนต้น ไม้ผล ไม้ดอก และสร้างพลับพลาไว้เป็นที่เสด็จประทับแรม โปรดเกล้าฯ ให้เรียกที่ประทับว่า “สวนดุสิต” ต่อจากนั้นได้สร้างถนนรอบสวนดุสิต มีถนนซางฮี้(ราชวิถี) โอบด้านหลัง ถนนดวงตะวัน (ศรีอยุธยา) โอบด้านหน้า ถนนลก (พระรามที่ 5) โอบด้านตะวันออก และมีถนนสามเสนตอนตั้งแต่คลองผดุงกรุงเกษม ขึ้นไปจนถึงคลองสมเสน ซึ่งสร้างต่อจกถนนสามเสนเดิม ทำจากคลองรอบกรุงขึ้นมาจนถึงคลองผดุงกรุงเกษม ตั้งแต่เมื่อกลางรัชกาล โอบด้านตะวันตกกับถนนเบญจมาศ จากสวนดุสิตไปจนถึงคลองผดุงกรุงเกษมแถบป้อมหักกำลังดัษกร (กนกวรรณ ชัยทัต, 2548 : 55-59) ครั้นถึงช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2447 ได้มีการแบ่งการปกครองมณฑลกรุงเทพมหานครออกเป็นอำเภอต่าง ๆ อำเภอดุสิต จึงเป็น 1 ใน 8 อำเภอชั้นใน ของการปกครองมณฑลกรุงเทพมหานคร (พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตดุสิต, 2546 : 6) ซึ่งใน 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพระนคร อำเภอสามเพ็ง อำเภอบางรัก อำเภอประทุมวัน อำเภอดุสิต อำเภอบางกอกน้อย อำเภอบางลำภูล่าง อำเภอบางกอกใหญ่ ครั้นต่อมายุบเหลือ 7 อำเภอ โดยยกอำเภอประทุมวันไปขึ้นกับอำเภอดุสิต สำหรับอำเภอชั้นนอกมี 8 อำเภอ คือ อำเภอบางซื่อ อำเภอบางขุนเทียน อำเภอราษฎร์บูรณะ อำเภอตลิ่งชัน อำเภอภาษีเจริญ อำเภอหนองแขม อำเภอบางเขน อำเภอบางกะปิ ซึ่งอำเภอดุสิตนั้นมีอาณาเขต คือทิศเหนือต่ออำเภอบางซื่อ แต่ปากคลองรางเงินฝั่งตะวันตก ไปตามลำคลองสามเสนฝั่งใต้ถึงทางรถไฟสายเหนือด้านตะวันตก ทิศตะวันออกต่ออำเภอพญาไทและอำเภอประแจจีน แต่คลองสามเสนไปตามทางรถไฟสายเหนือ ด้านตะวันตกถึงคลองบางกะปิ (คลองมหานาค) ทิศใต้ต่ออำเภอปทุมวันและอำเภอนางเลิ้ง แต่ทางรถไฟสายเหนือไปตามลำคลองบางกะปิ (คลองมหานาค) ฝั่งใต้ถึงสี่แยกมหานาค เลี้ยวขึ้นตามลำคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งตะวันตกไปถึงปากคลองเม่งเส็ง ทิศตะวันตกต่ออำเภอสามเสน แต่คลองผดุงกรุงเกษมเข้าไปตามลำคลองเม่งเส็งฝั่งตะวันตกถึงถนนใบพร เลี้ยวไปตามถนนใบพร ด้านเหนือถึงมุมกำแพงพระราชวังสวนดุสิตริมถนนสามเสน เลี้ยวขึ้นริมกำแพงพระราชวังสวนดุสิตริมถนนสามเสน เลี้ยวขึ้นริมกำแพงพระราชวังสวนดุสิตด้านตะวันตกถึงถนนซางฮี้นอก เลี้ยวตามถนนซางฮี้นอก ด้านใต้ไปถึงลำคลองรางเงิน เลี้ยวตามลำคลองรางเงินฝั่งตะวันตกถึงคลองสามเสน ในเขตพื้นที่เหล่านี้จึงเป็นอำเภอดุสิต ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ได้มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ให้จัดรูปการปกครองของ "นครหลวงกรุงเทพธนบุรี" เป็น "กรุงเทพมหานคร" มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 ได้บัญญัติให้กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นทบวงการเมือง เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นนครหลวง แบ่งพื้นที่บริหารออกเป็นเขตและแขวงหลังจากนั้นได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันและได้บัญญัติให้กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น แบ่งพื้นที่บริหารออกเป็นเขตและแขวง ซึ่งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวนั้น อำเภอดุสิตจึงเป็นเขตดุสิต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในขณะนั้นเขตดุสิตมีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 22.21 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย แขวงดุสิต แขวง สวนจิตรลดา แขวงวชิรพยาบาล แขวงสี่แยกมหานาค แขวงถนนนครไชยศรี และแขวงบางซื่อ รวมทั้งสิ้น 7 แขวง และสุดท้ายในปี พ.ศ. 2532 ทางกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกระทรวง ลง วันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 แยกพื้นที่แขวงบางซื่อออกจากเขตดุสิต ตั้งเป็นเขตบางซื่ออีกเขตหนึ่ง เขตดุสิตในปัจจุบันจึงมีอาณาเขต ได้แก่ ทิศเหนือ ติดกับคลองบางซื่อและคลองเปรมประชา ทิศใต้ ติดต่อกับเขตพระนครและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ทิศตะวันออก ติดกับทางรถไฟสายเหนือติดต่อเขตพญาไทกับเขตราชเทวี ทิศตะวันตก ติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ของเขตบางพลัด โดยมีพื้นที่การปกครองครอบคลุม 5 แขวง ได้แก่ แขวงดุสิต แขวงวชิรพยาบาล แขวงสวนจิตรลดา แขวงสี่แยกมหานาค และแขวงถนนนครไชยศรี มีพื้นที่โดยรวมขนาด 10.66 ตารางกิโลเมตร มีชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตดุสิตทั้งสิ้น 44 ชุมชน ปี 2552 แบ่งได้เป็น 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 มี 16 ชุมชน โซนที่ 2 มี 17 ชุมชน และโซนที่ 3 มี 11 ชุมชน (ข้อมูลเขตดุสิต, 2552 : ออนไลน์)
อย่างไรก็ตามภายใต้การบริหารของเขตดุสิตกับพื้นที่ 44 ชุมชนในปัจจุบันนี้ได้สะท้อนวิถีชีวิตของชุมชนที่แตกต่างกันในหลากหลายด้าน ทั้งมิติด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม นับเป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่อย่างไรก็ตามชุมชนก็มีความสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกัน มีข้อตกลงร่วมกัน อยู่กันอย่างเป็นชุมชนที่พึ่งพากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับ เดวิส คิงสลีย์ (David Kingsly) ที่ได้ให้ความหมายของคำว่า “ชุมชน หมายถึง กลุ่มคน ที่อยู่ร่วมกันกันในอาณาบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่แน่นอนและสามารถดำรงชีวิตทางสังคมร่วมกัน กล่าวคือ คนกลุ่มหนึ่งจะต้องมีอาณาเขตเป็นของตนและคนในอาณาเขตนั้นมีความสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกัน เช่น มีภาษาพูดจารีตประเพณี และทัศนคติ เป็นแบบเดียวกัน” อนึ่ง ชยาภรณ์ ชื่นรุ่งโรจน์ ได้สรุปความหมายของคำว่า “ชุมชน หมายถึง ชุมชนนั้นหมายถึงการที่คนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาอยู่ร่วมกันในระยะเวลาที่ยาวนาน ระยะเวลาหนึ่ง จนเกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันเป็นส่วนของชุมชน มีอาณาเขตที่แน่นอน มีความสนใจและปฏิบัติตนในวิถีชีวิตประจำวันที่คล้ายคลึงกัน และมีความสัมพันธ์กันภายข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน” (ชุมชนและการพัฒนาชุมชน, 2552 : ออนไลน์) จากความหมายเหล่านี้ทำให้ยืนยันได้ว่าการก่อกำเนิดชุมชนทุกชุมชนจะมีระยะเวลาที่ยาวนานพอที่จะสามารถสร้างแบบแผนหรือวิถีชีวิตที่สานความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนขึ้นมาให้เห็นได้อย่างเด่นชัด จนทำให้สามารถสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์โดยสังเขปได้นั่นเอง รวมทั้งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านจิตใจและสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ให้กับสังคมในด้านครอบครัว การประกอบอาชีพ ความร่วมมือร่วมใจ ความกลมเกลียวเหนียวแน่น และความเข้มแข็งของชุมชนได้เช่นเดียวกัน ภาพของวิถีชีวิตประจำวันเหล่านี้มักจะเห็นได้อย่างเด่นชัดในทุกชุมชน ถึงอย่างไรก็ตามในชุมชนอีกจำนวนมากที่เป็นชุมชนเกิดใหม่โดยการอพยพเข้ามาอยู่ร่วมกันของประชาชน จนเกิดการสร้างลักษณะของชุมชนที่แตกต่างไปจากชุมชนอื่น ๆ ทำให้เกิดตัวบ่งชี้ของการเปลี่ยนแปลงชุมชนร่วมกันและเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันที่แตกต่างกันออกไป ทั้งระหว่างคนในชุมชนและคนระหว่างชุมชน ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ การประกอบอาชีพ การศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี ย่อมมีจุดร่วมของความเป็นแบบแผนของชีวิตที่ไม่แตกต่างกันมากนักเนื่องจากแต่ละชุมชนมีข้อตกลง หรือระเบียบข้อบังคับของชุมชนนั้น ๆ ร่วมกันนั่นเอง
ด้วยแนวคิด เหตุผลและปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นเพื่อให้มีคนรุ่นหลังได้ศึกษาในสิ่งที่ดีงามภายในชุมชน และสืบทอดสิ่งที่ดีงานเหล่านี้ให้คงอยู่ จึงทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาวิถีชีวิตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ทั้งมิติด้านสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซึ่งสาระสำคัญพอสังเขปของทั้ง 4 ชุมชน ไว้ดังนี้ (สำนักงานเขตดุสิต, 2551 : 88-98) ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 ตั้งอยู่ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เป็นชุมชนประเภทชุมชนเมือง ตั้งอยู่ในกรรมสิทธิ์ที่ดินของกรมการศาสนา มีเนื้อที่ชุมชนประมาณ 25 ไร่ 1 งาน 22 ตารางวา ทิศเหนือ ติดกรมทหารสื่อสาร สะพานแดงทิศใต้ ติดร.1 พัน รอ. และชุมชนพระยาประสิทธิ์ ทิศตะวันออก ติดถนนพระราม 5 และคลองเปรมประชากร และทิศตะวันตก ติดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 3 และ 4 ส่วนชุมชนวัดประชาระบือธรรม 2 เป็นชุมชนที่แยกออกมาจากชุมชนวัดประชาระบือธรรม ตั้งอยู่ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เป็นชุมชนประเภทชุมชนเมือง ตั้งอยู่ในกรรมสิทธิ์ที่ดินของเอกชน และที่ส่วนบุคคล มีเนื้อที่ชุมชนประมาณ 22 ไร่ ทิศเหนือ ติดคลองบางกระบือ ทิศใต้ ติดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 3 ทิศตะวันออก ติดคลองบางกระบือ และทิศตะวันตก ติดม.พัน 4 ส่วนชุมชนวัดประชาระบือธรรม 3 เป็นชุมชนที่แยกออกมาจากชุมชนวัดประชาระบือธรรม ตั้งอยู่ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เป็นชุมชนประเภทชุมชนเมือง ตั้งอยู่ในกรรมสิทธิ์ที่ดินของเอกชน และที่ส่วนบุคคล มีเนื้อที่ชุมชนประมาณ 25 ไร่ ทิศเหนือ ติดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 2 ทิศใต้ ติดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 ทิศตะวันออก ติดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 และติดคลองบางกระบือ และม. พัน 4 และชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 ตั้งอยู่ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เป็นชุมชนประเภทชุมชนเมือง ตั้งอยู่ในกรรมสิทธิ์ที่ดินของเอกชน มีเนื้อที่ชุมชนประมาณ 8 ทิศเหนือ ติดชุมชนวัดประชาระบือธรรม 3 ทิศใต้ ติดหมู่บ้านสยามนิเวศน์ ทิศตะวันออก ติดคลองบางกระบือเชื่อมคลองวัดน้อยนพคุณ และทิศตะวันตก ติดชุมชนบางกระบือ 14

แนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Literature)
วิถีชีวิตของประชาชนแต่ละชุมชนนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์แตกต่างกันไป บ้างก็เหมือนกันบ้างก็ต่างกัน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของบุคคลในการแสดงออกมา และวิถีชีวิตต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุคสมัยด้วย วิถีชีวิตชุมชนใดชุมชนหนึ่งจะถ่ายทอดให้มีความยั่งยืนนานย่อมต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจในการอนุรักษ์ห่วงแหนของผู้คนแต่ละยุคสมัยนั่นเอง วิถีชีวิตจึงหมายถึง การแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เป็นประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เป็นนิสัย ซึ่งจะสะท้อนทัศนคติ และวัฒนธรรมของบุคคล เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลในเรื่องที่อยู่อาศัย ลักษณะครอบครัว ขนบธรรมเนียมประเพณี การดูแลสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพของบุคคลนั้น จะได้รับอิทธิพลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ความแตกต่างของรายได้ การศึกษา อาชีพ ความเชื่อของบุคคล จะเป็นตัวกำหนดทำให้เกิดความแตกต่างของกิจกรรมในชีวิตประจำวัน (นันทพร ศรีสุทธะ, 2544 : 8) ทั้งนี้เมื่อวิถีชีวิตของคนถูกกำหนดให้แตกต่างกันด้วยวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ เช่นชาวเขาก็แตกต่างจากชาวเมือง คนไทยอิสลามก็แตกต่างจากคนไทยพุทธ ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวไทยหรือต่างชาติก็ดี จะมีวิถีชีวิตที่เป็นลักษณะของตนเอง จึงไม่ถือว่าวัฒนธรรมของใครสูงหรือต่ำ ล้าหลัง ป่าเถื่อน กว่าอีกวัฒนธรรมหนึ่ง (สุพัตรา สุภาพ, 2541: 103) ด้วยเช่นกัน เมื่อทำการศึกษาชุมชนจึงต้องศึกษาทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม อันถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญของวิถีชีวิตชุมชนหนึ่ง ๆ เพื่อทำการสำรวจสืบค้น ตีความหมายของพฤติกรรมของคนในชุมชน อันสะท้อนความเป็นจริงของชุมชนในด้านการตั้งถิ่นฐาน เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในชุมชนให้ยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ยังใช้ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม อธิบายสังคมในฐานะที่เป็นระบบ มีอาณาเขตแน่นอนเป็นสังคมที่วางระเบียบตนเอง ควบคุมตนเอง (Self-regulating) โดยมีแนวโน้มที่ส่วนประกอบต่างๆ พึ่งพาอาศัยกันและรักษาดุลยภาพไว้ได้ ทั้งนี้สังคมมีความต้องการจำเป็นจำนวนหนึ่ง (needs or requisites) ซึ่งเมื่อสนองได้แล้ว จะทำให้สังคมดำรงชีวิตอยู่ ส่วนต่างๆสามารถพึ่งพากันได้ (homeostasis) และสามารถรักษาสมดุลยภาพไว้ได้ มีการวิเคราะห์ระบบที่บำรุงรักษาตนเอง (สังคม) และมองว่าในระบบที่มีความต้องการ จำเป็นสังคมจึงต้องมีโครงสร้างแบบใดแบบหนึ่งขึ้นมาเป็นหลักประการให้มีการพึ่งพา (homeostasis) ดุลยภาพ (equilibium) และการมีชีวิต (survival) อาจกล่าวได้ว่า โครงสร้างหลายโครงสร้างสามารถสนองความต้องการจำเป็นอันเดียวก็ได้ แต่โครงสร้างจำนวนจำกัดเท่านั้น ที่สามารถสนองความต้องการจำเป็นใดๆหรือความต้องการจำเป็นหลายอย่างในขณะเดียวกัน (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2543 : 25-51) ทั้งนี้ การวิจัยต้องอิงอาศัยทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมในเรื่องของวัฒนธรรมชุมชนด้วย ซึ่งจะสะท้อนวัฒนธรรมในเรื่อง วิถีการดำเนินชีวิต กระสวนแห่งพฤติกรรมและบรรดาผลงานทั้งมวลที่มนุษย์ไดสร้างสรรค์ขึ้น ตลอดจนความคิด ความเชื่อ และความรู้ เป็นต้น นอกจากนี้แล้ววัฒนธรรม ยังหมายถึง วิถีการดำเนินชีวิต (The way of life) ของคนในสังคม นับตั้งแต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธี แต่งกาย วิธีทำงาน วิธีพักผ่อน วิธีแสดงอารมณ์ วิธีสื่อความ วิธีจราจรและขนส่ง วิธีอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ วิธี แสดงความสุขทางใจ และหลักเกณฑ์การดำเนินชีวิต โดยแนวทางการแสดงออกถึงวิถีชีวิตนั้นอาจเริ่มมาจาก เอกชนหรือคณะบุคคลทำเป็นตัวแบบ แล้วต่อมาคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติสืบต่อกันมา วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลง ไปตามเงื่อนไขและกาลเวลาเมื่อมีการประดิษฐ์หรือค้นพบสิ่งใหม่ วิธีใหม่ที่ใช้แก้ปัญหาและตอบสนองความ ต้องการของสังคมได้ดีกว่า ซึ่งอาจทำให้สมาชิกของสังคมเกิดความนิยม และในที่สุดอาจเลิกใช้วัฒนธรรมเดิม(อานนท์ อาภาภิรม, 2525 : 90) ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ประยุกต์กรอบแนวคิดของฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (2536 : 111 อ้างใน เทคเนควิธีการศึกษาชุมชน, 2552 : ออนไลน์) เพื่อมาใช้ในการศึกษาอีกด้วย ซึ่งมีรายละเอียดไว้ดังนี้ การเก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับชุมชน ได้แก่ สภาพภูมิประเทศและการตั้งถิ่นฐานของชุมชน ลักษณะโครงสร้างของประชากร ลักษณะโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาและสาธารณูปโภคของชุมชน และประวัติและความเป็นมาของชุมชน ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจ และการใช้ทรัพยากร: การผลิตการแลกเปลี่ยน และการบริโภค ได้แก่ การครอบครองทรัพยากรในการผลิต กระบวนการผลิตและผลผลิต การแลกเปลี่ยนและการบริโภค และรายได้/รายจ่ายและหนี้สิน ส่วน ข้อมูลเกี่ยวกับระบบสังคม และการเมืองในชุมชน ได้แก่ครอบครัวและเครือญาติ เช่น รูปแบบครอบครัว ความสัมพันธ์เครือญาติ เพื่อนบ้านและเพื่อน รวมถึงกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มอุปถัมภ์ กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอาชีพ กลุ่มการเมือง กลุ่มอื่นๆ ที่ทางการเข้ามาจัดตั้ง เป็นต้น ทั้งนี้การศึกษาสถาบันสำคัญๆ ของชุมชน การศึกษาลักษณะความสัมพันธ์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลในเชิงอำนาจ : ผู้นำ และความขัดแย้งในชุมชน รวมถึงงานวิจัยนี้อิงผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องไว้หลากหลายเช่น เสาวภา ไพทยวัฒน์ (2551 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่องวิวัฒนาการและรูปแบบสังคมเมือง: กรณีศึกษาย่านเทเวศร์ กนกวรรณ ชัยทัต (2548 : 110-111)ศึกษาเรื่อง การสร้างความเป็นสมัยใหม่ด้วยมิติวัฒนธรรม : มุมมองเรื่องพื้นที่ศึกษาจากพระราชวังดุสิต วัดเบญจมบพิตร ถนนราชดำเนิน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ธัญญ ชีวาภรณาวัฒน์ (2544 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการตั้งถิ่นฐานย่านบางลำพู วีณา เอี่ยมประไพ (2550 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตชุมชนคลองบางกอกน้อย ชนินทร์ วิเศษสิทธิกุล (2547 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมเมืองในเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร รวมถึงอมร บุญต่อ (2546 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่องการศึกษาโครงสร้างอำนาจของชุมชนในกรุงเทพมหานคร : กรณีศึกษาชุมชนราชผาทับทิมรวมใจ เช่นกัน จากแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้วิจัยได้กำหนดเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาไว้ดังนี้

กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework)














แผนภูมิ: กรอบแนวคิดในการศึกษาวิถีชีวิตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

วัตถุประสงค์ (Objective)
1. เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของชุมชนบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ ด้านประวัติ ความเป็นมา ด้านที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ ลักษณะบ้านเรือน สาธารณูปโภคพื้นฐานในชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชน หน่วยงานในชุมชน รวมทั้งด้านการประกอบอาชีพ ด้านการบริโภค ด้านการคมนาคม ด้านการปกครอง ด้านการศึกษา ด้านการสาธารณสุข
2. เพื่อศึกษาวิถีชีวิตชุมชนตามบริบททางวัฒนธรรม 6 ด้าน ได้แก่ ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านศิลปกรรมและโบราณคดี ด้านการละเล่นดนตรีการพักผ่อนหย่อนใจ ด้านชีวิตความเป็นอยู่และวิทยาการ (ภูมิปัญญา) และด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจการจัดพิธีกรรม

ขอบเขตของงานวิจัย
1. ขอบเขตด้านพื้นที่ประชากร กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชนที่อยู่ในชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1-4 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการเก็บข้อมูล ได้แก่ ประธานหรือผู้นำชุมชน คณะกรรมการชุมชน ผู้นำทางภูมิปัญญาหรือผู้สูงอายุที่ยอมรับนับถือของคนในชุมชน
2. ขอบเขตด้านเนื้อหา
2.1 สภาพทั่วไปของชุมชน ได้แก่ ด้านประวัติความเป็นมา ด้านที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ ลักษณะบ้านเรือน สาธารณูปโภคพื้นฐานในชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชนหน่วยงานในชุมชน
2.2 ด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน ได้แก่ การประกอบอาชีพ ด้านการบริโภค การคมนาคม การปกครอง การศึกษา การสาธารณสุข
2.3 ด้านวัฒนธรรม 6 ด้าน ได้แก่ ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี ด้านภาษาและวรรณกรรม ด้านศิลปกรรมและโบราณคดี ด้านการละเล่นดนตรีการพักผ่อนหย่อนใจ ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจการจัดพิธีกรรม
3. ขอบเขตด้านระยะเวลา กำหนดการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์สังเคราะห์ผลระหว่างเดือน เมษายน – กันยายน 2552

วิธีการดำเนินการวิจัย (Methods)
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสัมภาษณ์ประกอบด้วยประธานชุมชน เลขานุการ คณะกรรมการ ผู้นำทางภูมิปัญญาและผู้สูงอายุภายในชุมชน รวมถึงผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบสำรวจ สภาพข้อมูลทั่วไปของชุมชน
แบบสังเกต แบบแผนการกระทำที่เกิดในชีวิตประจำวัน
แบบสัมภาษณ์ เป็นแบบสัมภาษณ์ที่แบ่งคำถามออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
- ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับผู้ให้สัมภาษณ์ เช่น ชื่อ นามสกุล เพศ อายุ สถานภาพ ศาสนา อาชีพ การศึกษา และรายได้ต่อเดือน
- ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชุมชน ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาและวรรณกรรม ศิลปกรรมและโบราณคดี การละเล่นดนตรีและการพักผ่อนหย่อนใจ ชีวิตความเป็นอยู่และวิทยาการ(ภูมิปัญญา) การท่องเที่ยวและธุรกิจการจัดพิธีกรรม
การวิเคราะห์ข้อมูล
- วิเคราะห์เชิงตรรกะเหตุผลเป็นหลัก และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (inductive) ซึ่งได้จากการสังเกตและการสัมภาษณ์ที่ได้จดบันทึกไว้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือปรากฏการณ์ที่มองเห็นในเชิงคุณภาพและในเชิงปริมาณจากเอกสาร และภาคสนามที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชุมชน ทั้ง 6 ด้านและส่วนด้านสังคมที่เป็นสภาพทั่วไปของชุมชน ได้แก่ ที่ตั้งและลักษณะทางกายภาพ ประวัติความเป็นมา ลักษณะบ้านเรือน สาธารณูปโภคพื้นฐานในชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชน หน่วยงานในชุมชน การประกอบอาชีพ การคมนาคม การปกครอง การศึกษา และการสาธารณสุข รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ซึ่งได้จากการศึกษาเอกสาร (Document Research) ในการวิเคราะห์เอกสารผู้วิจัยต้องคำนึงถึงบริบท (Context) หรือสภาพแวดล้อมของข้อมูลเอกสาร
- การเขียนรายงานเป็นการเขียนเชิงเล่าเรื่อง (Narrative) โดยนำเสนอผลการศึกษาในลักษณะการบรรยายในเชิงพรรณนา ที่เน้นเนื้อหาบริบทของสังคมและบริบทของวัฒนธรรม
ผลการวิจัย (Result)
ผลการศึกษา เรื่อง การศึกษาวิถีชีวิตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบผลการศึกษาในประเด็นที่น่าสนใจตามลำดับดังนี้
เล่าอดีต(ในภาพรวม)
ในอดีตชุมชนวัดประชาระบือธรรม เป็นที่ราบลุ่มและเป็นทุ่งหญ้า มีลำคลอง 1 ลำคลองเรียกว่า “คลองบางกระบือ” และมีหมู่บ้านเล็ก ๆ อีก 1 หมู่บ้าน มีอาชีพทำการเกษตร เช่น ทำนา ทำสวนผลไม้ เช่น ทุเรียน มะพร้าว และเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัว และกระบือ สัตว์เลี้ยงประเภทวัวและกระบือมีพันธุ์ดีและแข็งแรง มีชื่อเสียงมาก จึงได้ชื่อว่า “หมู่บ้านบางกระบือ” ต่อมาชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2440 โดยมีชื่อว่า “วัดบางกระบือ” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดประชาระบือธรรม” วัดแห่งนี้เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนใน 4 ชุมชน มาร่วมกว่า 112 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 โดยขุนสำราญราษฎร์บริรักษ์ นายอำเภอเขตดุสิต และนายบรรณกิจ ท้าวสั้น ได้ขออนุญาตต่อเจ้าอาวาสวัดประชาระบือธรรม เพื่อจัดตั้งโรงเรียนในเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา ใช้ชื่อโรงเรียนประชาบาล ถนนนครไชยศรี ปี พ.ศ. 2480 ได้โอนให้แก่เทศบาลนครกรุงเทพ ได้ชื่อว่า โรงเรียนเทศบาล ปี พ.ศ. 2496 เทศบาลนครกรุงเทพได้โอนโรงเรียนให้กับกรมสามัญศึกษา มีสภาพเป็นโรงเรียนประชาบาล และได้เปลี่ยนชื่อว่า โรงเรียนวัดประชาระบือธรรม และชื่อชุมชนจึงเรียกตามชื่อของวัดและโรงเรียนนับแต่นั้นเป็ต้นมา
การเกิดชุมชนอย่างเป็นทางการ
เมื่อ พ.ศ. 2538 จึงเกิดเป็นชุมชนอย่างเป็นทางการขึ้น โดยเริ่มแรกแบ่งออกเป็น 3 ชุมชนก่อน ได้แก่ ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 -3 และต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ก็เกิดขึ้นอีก 1 ชุมชนคือ ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 ซึ่งชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 เป็นชุมชนฐานเดิมของทุกชุมชน เหตุผลที่สำคัญในการแบ่งเป็นชุมชนย่อย เนื่องมาจากชุมชนวัดประชาระบือธรรม เป็นชุมชนที่มีประชาชนเริ่มทยอยเข้ามาเพื่อปลูกบ้านพักอาศัย พื้นที่จึงมีการขยายเพิ่มมากตามจำนวนประชาชนที่เข้ามา ทำให้ชุมชนใหญ่ขึ้นและเริ่มมีปัญหาด้านการบริหาร การปกครอง การพัฒนาไม่ทั่วถึง และกรรมการก็มากเกินกว่าระเบียบกรุงเทพมหานครกำหนด โดยอาศัยระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกรรมการชุมชน พ.ศ.2534 จึงทำให้เกิดการแบ่งชุมชนให้มีความเหมาะสมและมีกรรมการที่ดูแลได้อย่างทั่วถึงนั่นเอง จนกระทั่งปัจจุบันจากชุมชนเล็ก ๆ ไม่ค่อยได้รับการดูแลจากทางราชการนัก ปัจจุบันกลายเป็นชุมชนที่มีการพัฒนาให้มีความเจริญหลากหลายด้าน ทั้งการคมนาคม การสาธารณูปการ สาธารณูปโภค โดยเฉพาะคนภายนอกหรือหน่วยงานภายนอกสามารถเข้าถึงชุมชนวัดประชาระบือธรรม ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วกว่าในอดีตมาก สาเหตุหนึ่งก็เพราะตั้งอยู่ติดกับถนนพระราม 5 อันเป็นถนนสายสำคัญของเขตดุสิตตัดผ่านนั่นเอง
ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 ตั้งอยู่ในพื้นที่ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ มีซอยหลักทั้งหมด 6 ซอย อาณาเขตติดกับกรมทหารและที่พักทหารเป็นส่วนใหญ่ ประชาชนนับถือพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อเข้าสู่ชุมชนจะพบว่าบ้านเรือนของประชาชนจะสร้างติดกันซึ่งมีลักษณะเป็นทั้งอาคารพานิชย์ (พักและค้าขาย) และเป็นบ้านเรือนไม้ 2 ชั้น (ที่พักอย่างเดียว) รวมถึงเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว (ที่พักอย่างเดียว) มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนับเป็นชุมชนที่มีความเจริญมากอีกชุมชนหนึ่งในเขตดุสิต เช่น โทรศัพท์สาธารณะ ตู้ไปรษณีย์ในชุมชน ระบบไฟฟ้าในชุมชน ระบบน้ำประปาที่ใช้ในชุมชน ร้านของชำ, ร้านอาหารตามสั่ง, ร้านซ่อมและร้านซักรีด มีศูนย์สุขภาพประจำชุมชนและศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุ มีร้านเสริมสวย/ความงาม มีร้านคาราโอเกะหรือสถานบันเทิง รวมถึงตลาดนัดตั้งอยู่ในวัดประชาระบือธรรมอีกด้วย การประกอบอาชีพหลัก ๆ ของชาวชุมชนได้แก่ รับจ้าง ค้าขาย รับราชการ ลูกจ้างหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานรัฐ ส่วนการปกครองมีคณะกรรมการคอยดูแลทำหน้าที่ในการวางแผนพัฒนาชุมชน รับนโยบาย ประสานงาน รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในชุมชนมีกินดีอยู่ดีมีความสุขอย่างทั่วถึง เมื่อถึงคราวเจ็บป่วยของประชาชนในชุมชนก็มีศูนย์สุขภาพชุมชน มีเวรประจำศูนย์สุขภาพชุมชนวันละ 2 คน เปิดบริการตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ ส่วนประเพณีและวัฒนธรรมที่ชุมชนได้ดำรงมั่นคงไว้เป็นหลักให้กับประชาชนในชุมชนได้มีส่วนร่วมกันทำบุญกันอย่างยิ่งใหญ่และยังคงยึดถือตราบจนทุกวันนี้ ได้แก่ ประเพณีวันสงกรานต์ และประเพณีทำบุญตักบาตรวันปีใหม่ และที่สำคัญสิ่งที่สามารถสะท้อนภาพในอดีตของชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 ได้ก็คือวัดประชาระบือธรรม เนื่องจากตั้งมาแล้วไม่น้อย 100 ปี และเป็นวัดที่มีมาก่อนการตั้งชุมชนประชาระบือธรรม 1 หลายทศวรรษนัก ส่วนงานศิลป์ งานปั้นหรืองานแกะสลักในชุมชนที่สืบทอดกันมาแต่อดีต มีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ การทำดอกไม้ประดิษฐ์จากสบู่ และการร่อนทอง ซึ่งการร่อนทองได้ไม่มีการสืบทอด ที่เหลือก็คงเป็นการทำดอกไม้ประดิษฐ์จากสบู่ นั่นเอง
ส่วนชุมชนวัดประชาระบือธรรม 2 เป็นชุมชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่บนพื้นที่อันเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน และเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ในอดีตบริเวณนี้เป็นสวนผลไม้ จำพวกสวนทุเรียน มะพร้าว หมาก และสวนผักต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีน้ำท่วมบ่อยครั้ง จึงทำให้บ้านเรือนมีลักษณะใต้ถุนสูง ซึ่งปัจจุบันยังคงเห็นร่องรอยในอดีตอยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น คือบ้านของคุณป้าพัชนีย์ กุลสูตร อายุ 71 ปี ซึ่งบ้านหลังนี้มีอายุมากว่า 80 ปีหรือร่วม 100 ปีก็เป็นได้ เนื่องจากได้มีการสืบทอดมาตั้งแต่ทวดของคุณป้าแล้วประมาณ 3 รุ่น คือ รุ่นทวด ปู่ย่า พ่อแม่ และปัจจุบันนี้เป็นรุ่นลูก ๆ นอกจากตัวบ้านแล้วยังคงเห็นล่องน้ำในสวนที่สามารถนึกภาพของความเป็นสวนในอดีตได้อย่างชัดเจน ในส่วนสภาพทั่วไปของชุมชนปัจจุบันชุมชนเป็นวิถีคนเมืองเกือบทั้งหมดจนแทบจะกลายเป็นชุมชนแออัดไปด้วยซ้ำ ส่วนด้านอาชีพ การสาธารณสุข การศึกษาการปกครองและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของประชาชนไม่แตกต่างกันกับชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 เลย ส่วนด้านศิลปกรรมประเภทประติมากรรม งานปั้นหรืองานแกะสลักภายในชุมชนยังคงสืบทอดกันมาแต่อดีต อยู่ 2 ประการ ได้แก่ การตีทอง และการแกะสลักสบู่
ส่วนชุมชนวัดประชาระบือธรรม 3 เป็นชุมชนที่อยู่บนพื้นที่ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และพื้นที่เอกชนบางส่วน ลักษณะบ้านเรือนมี 3 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่ ลักษณะเป็นบ้านเรือนไม้ 2 ชั้น ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นทันสมัยและอพาร์ตเม้นท์ และลักษณะที่เป็นพักอาศัยทั่วไป ส่วนอาชีพ การสาธารณสุข การศึกษาการปกครองและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของประชาชนในชุมชนไม่แตกต่างกันกับชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1 นัก อนึ่งสิ่งที่ชุมชนยังคงหลงเหลือให้เห็นร่องรอยในอดีตคือ บ้านของคุณบ้านลุงโกเมนทร์ อิ่มสุวรรณ และบ้านป้าสอน พลยุง นั่นเองที่มีอายุไม่น้อยกว่า 50 ปี ซึ่งลักษณะบ้านเรือนของทั้งสองท่านมีลักษณะความคล้ายคลึงสภาพของบ้านคุณป้าพัชนีย์ กุลสูตร ในชุมชนวัดประชาระบือธรรม 2 นั่นเอง
สุดท้ายชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 ซึ่งในอดีตเป็นพื้นที่กว้างสำหรับการเลี้ยงโค ที่ถูกต้อนมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกบ้าง ส่วนใหญ่เป็นกระบือพันธุ์ดี แข็งแรง มีชื่อเสียงมากสมัยนั้น และภายในพื้นที่แห่งนี้หลายครั้งได้มีคนเข้ามาลักลอบปลูกเป็นเพิงอาศัยอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นสลัม มีน้ำสกปรก ในคูคลองผักตบชวาขึ้นเต็มพื้นที่ไปหมด แถมยังมีป่าหญ้าคาจำนวนมากอีกด้วย ไม่มีน้ำประปา และไฟฟ้า จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2518 บริษัทอาคารพัฒนาจำกัด ได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ในเนื้อที่ 8 ไร่ จำนวน 120 คูหา ทำให้ประชาชนจากหลายพื้นที่ต่างเข้ามาจับจองเป็นที่อยู่อาศัยกันอย่างมากมาย กระทั่ง พ.ศ. 2540 ได้ตั้งเป็นชุมชนวัดประชาระบือธรรม 4 ขึ้นอย่างเป็นทางการมีคณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนเช่นเดียวกับชุมชนอื่น ๆ ด้วยความเป็นชุมชนภายใต้อาคารบ้านพักของบริษัทที่กำหนดไว้แล้วอย่างชัดเจนจึงทำให้ไม่มีการสะท้อนให้เห็นความเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมเลย แต่มักจะพบว่าประชาชนในชุมชนได้ถูกความเป็นวิถีชีวิตคนเมืองกลืนหายไปกับกระแสโลกาภิวัฒน์ยากที่หลีกเลี่ยง

สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผล
ผลการศึกษาวิถีชีวิตชุมชนวัดประชาระบือธรรม ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยข้อสังเกตดังนี้
1. สภาพของชุมชน มีลักษณะคับแคบ บางพื้นที่ถูกกำหนดโดยแบบของผู้สร้างอาคารพาณิชย์อยู่ก่อนแล้วซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกัน มีซอยจำนวนมากที่สามารถทะลุถึงกันได้ จึงจัดเป็นชุมชนเปิด การพัฒนาพื้นที่ของชุมชนได้พัฒนาเต็มศักยภาพแล้วจึงไม่สามารถที่จะขยายฐานความเจริญทางพื้นที่ในอนาคตได้อีกต่อไป ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของชุมชน ที่สามารถสังเกตพบว่า ที่มาของประชาชนเอง บทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชน ถนนหนทาง สาธารณสุข การประกอบอาชีพ เนื่องจากว่า ที่มาของคนในชุมชนเป็นคนพื้นเพเดิมมาจากต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อประกอบอาชีพหารายได้ของตัวเองและครอบครัว ทั้งอาชีพรับจ้าง ค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว รับราชการ ดังนั้นบทบาทที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ที่เป็นการพัฒนาชุมชนจึงมีน้อยมาก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของปิยะ ประทีปรักมณี (2546 : 98) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ชายทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของประชาชนอยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน คือ สถานภาพทางสังคม การเป็นสมาชิกกลุ่ม และการคาดหวังผลประโยชน์ และงานวิจัยของ ศรีสุดา เตียวโป้ (2545 : 120-124) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล : ศึกษาเฉพาะกรณีองค์กรบริหารส่วนตำบลดอนชนพู อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ผลการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล ในภาพรวมอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เช่นเดียวกัน อนึ่งงานการพัฒนาชุมชนส่วนใหญ่ต้องตกไปอยู่กับกลุ่มบุคคลที่สูงอายุ มีทั้งอาชีพเกษียณอายุราชการ เป็นพ่อบ้าน แม่บ้านเท่านั้นที่ผู้คนเหล่านี้มีเวลาให้กับชุมชนอย่างแท้จริง และกลุ่มคนเหล่านี้จะมีตำแหน่งเป็นกรรมการชุมชนด้วยจึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชนอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ภูสิทธ์ ขันติกุล (2552 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พบว่า การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านที่มีระดับการมีส่วนร่วมมากที่สุด คือ ด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในการพัฒนาชุมชน และกรรมการส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 58 ปีขึ้นไปซึ่งจะเป็นพ่อบ้าน แม่บ้านที่เกษียณอายุแล้ว ส่วนใหญ่จะมีตำแหน่งเป็นกรรมการชุมชนและมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนอย่างมาก นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยด้านอายุของกรรมการชุมชนที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยกรรมการชุมชนที่มีอายุตั้งแต่ 58 ปีขึ้นไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่ากรรมการที่มีอายุไม่เกิน 46 ปี
อีกประเด็นหนึ่งคือ คนที่มีจิตสาธารณะพร้อมที่จะช่วยเหลือชุมชนอย่างแท้จริงมีน้อยมาก ทำให้งานพัฒนาของชุมชนขึ้นอยู่กับเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนเยาวชนที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของชุมชนแทบไม่มีเลย และปัจจัยด้านถนนหนทาง พบว่าจากพื้นที่ที่เคยเป็นสวนผลไม้ ทุ่งนา และทุ่งเลี้ยงสัตว์ มีทางเดินและถนนในชุมชนเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ใช้คลองบางกระบือเป็นที่คมนาคมทางน้ำ จนได้มีการสร้างถนนหนทางเข้าสู่ชุมชนแทนการใช้การคมนาคมทางน้ำในอดีตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และสภาพสังคมอย่างเห็นได้ชัด โดยถนนทางเข้าชุมชนช่วงแรกเป็นทาง 2 เลน แต่พอเข้ามาภายในชุมชน เป็นถนน 1 เลน เนื่องจากประชาชนบางคนได้มีการปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ำเข้ามาชิดติดถนนมากจนทำให้ไม่สามารถก่อสร้างทางเดินได้ และหรือจะทำการขยายถนนก็เป็นเรื่องที่ยาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยในชุมชนมีการปลูกสร้างบ้านเรือนลักษณะติด ๆ กันจนกลายเป็นชุมชนแออัดไปโดยปริยาย จึงสามารถสรุปได้ว่าการเข้ามาของถนนหนทางจึงส่งผลทางตรงต่อการเปลี่ยนแปลงไปของสภาพพื้นที่ของชุมชนทั้งทางกายภาพและสังคมวัฒนธรรมสอดคล้องกับแนวคิดของ สุกัญญา สุจฉายา และนันทิยา สว่างวุฒิธรรม (2546 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่องอัตลักษณ์ของชาวคลองภูมิ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พบว่า พื้นที่คลองภูมิเป็นพื้นที่สวนผลไม้ที่มีความร่มรื่นและชาวสวนยังคงรักษาความเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างโดยการตัดถนนย่านพระราม 3 ก่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงจากสภาพภายนอกได้ส่งผลในด้านการดำรงชีวิต ราคาที่ดินที่สูงขึ้น และงานวิจัยของวีณา เอี่ยมประไพ (2550 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตชุมชนคลองบางกอกน้อย ผลการวิจัยพบว่า รัฐได้พัฒนาบ้านเมืองด้วยการสร้างเส้นทางถนนเข้าสู่ชุมชนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ทางสังคม ซึ่งถนนเป็นปัจจัยหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้พื้นที่แตกต่างไปจากเดิม รวมถึงงานวิจัยของวันวิสา อุ่นขจร (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเรื่อง อัตลักษณ์ชองในภาคตะวันออก : กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธ์ชองที่ตำบลคลองพลู กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี ผลการวิจัยพบว่า นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจการสร้างความทันสมัยในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายการพัฒนา เช่นการตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้าน การนำไฟฟ้าเข้ามาในชุมชน และนำเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เข้ามาในชุมชน ทำให้การดำเนินชีวิตวัฒนธรรม และประเพณีบางส่วนของชาวชองที่คลองพลูเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ทั้งนี้ภายในชุมชนมีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น อาชีพรับจ้าง ค้าขาย มีร้านขายของชำ ร้านอาหารตามสั่ง ตลาดนัดซื้อขายภายในชุมชน อาชีพที่เกิดขึ้นเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่ประชาชนสามารถดำเนินการได้ภายในชุมชนทุกแห่งอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นอาชีพที่ใช้เงินลงทุนไม่มากและมีความเหมาะกับชุมชนขนาดเล็กด้วย ซึ่งอาชีพที่เกิดขึ้นในชุมชนสอดคล้องกับประเภทของอาชีพบางประการในงานวิจัยของ สุมาลี หวังพุฒิ (2546 : 251) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ผลการวิจัยพบว่า ด้านเศรษฐกิจ มีอาชีพของชาวบ้านตำบลนาทับ คือ อาชีพรับจ้าง การจำหน่าย มีร้านชำ ตลาดนัด ซื้อขาย ณ แหล่งผลิต และขายนอกชุมชน
2. ประชาชนในชุมชนประชาระบือธรรม ส่วนใหญ่เป็นคนนับถือพุทธศาสนา เป็นคนไทยที่มาจากต่างจังหวัด มีคติความเชื่อตามแนวทางพุทธศาสนาโดยทั่วไป ซึ่งวัดประชาระบือธรรมเป็นศูนย์กลาง พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนมักจะเป็นพิธีกรรมที่สอดคล้องกับความเชื่อตามแนวพุทธ เช่น การทำบุญวันธรรมสวนะ ทำบุญวันเกิด ทำบุญตักบาตรไหว้พระตามประเพณีสำคัญ ๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา และลอยกระทง ซึ่งประเพณีต่าง ๆ เป็นการทำบุญตามฤดูกาล การถ่ายทอดความรู้ทางวัฒนธรรมมีลักษณะการให้ลูกหลานได้เข้าไปมีส่วนร่วมปฏิบัติด้วยกัน โดยเฉพาะประชาชนในชุมชนได้ให้ความสำคัญกับการทำบุญในวันปีใหม่และวันสงกรานต์มาก ซึ่งได้สอดคล้องกับงานวิจัยของ วิวัฒนชัย บุญญานุพงศ์ (2544 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชน : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนมอญบ้านเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชนในกิจกรรมการทำบุญในวันสงกรานต์เป็นประจำสูงกว่ากิจกรรมอื่น ๆ เพราะเป็นประเพณีที่แสดงออกได้ถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และขอพรผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นงานบุญใหญ่ประจำปีของชาวมอญเกาะเกร็ด และงานวิจัยของ สุกัญญา บูรณเดชาชัย (2549 : 47-67) ได้ทำการวิจัยเรื่อง วิถีชีวิตและกระบวนการทำประมง : กรณีศึกษาหมู่บ้านหาดวอนนภา หมู่ที่ 14 ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ผลการวิจัย พบว่า ด้านประเพณีและพิธีกรรม ประชาชนจะมีการจัดทำบุญตามประเพณีตลอดทั้งปี ซึ่งเดือนมกราคม จัดทำบุญในวันปีใหม่ ส่วนเดือนเมษายน จัดทำบุญวันสงกรานต์ตามประเพณีและปฏิบัติสืบทอดกันมาโดยตลอด รวมถึงงานวิจัยของ สุกัญญา สุจฉายา และนันทิยา สว่างวุฒิธรรม (2546 : บทคัดย่อ) ศึกษาเรื่องอัตลักษณ์ของชาวคลองภูมิ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พบว่า ความเป็นอัตลักษณ์ของชาวคลองภูมิในด้านสังคมและวัฒนธรรมยังคงมีความมั่นคงโดยรากฐานของชุมชนดั้งเดิมที่มีการรวมกลุ่มกัน ดังนั้น การทำบุญประเพณีของชุมชนซึ่งเคยปฏิบัติในบรรพชนยังคงถือปฏิบัติในชุมชนอย่างไม่ขาดสายโดยเฉพาะการจัดประเพณีสงกรานต์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้จะมีพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิต แต่สิ่งที่สังเกตกลับพบว่า ประชาชน พ่อแม่ ผู้ปกครองในชุมชนไม่ใคร่สนใจที่จะนำหลักคำสอนพุทธศาสนาไปสั่งสอนบุตรหลานในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนื่องเท่าไรนัก แต่มีการสั่งสอนเป็นเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้นที่จะสั่งสอน เนื่องจากว่ามักจะให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้อง การกินดีอยู่ดีของตนเองและครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งสภาวะปัจจุบันที่ต้องดิ้นรนทำมาหากินกันมากขึ้นเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้พ่อแม่ก็ไม่มีเวลาที่จะสั่งสอนบุตรหลานจึงทำให้วันธรรมดา(วันจันทร์-วันศุกร์) เวลาส่วนใหญ่บุตรหลานมักจะอยู่ที่โรงเรียน ส่วนวันหยุด(วันเสาร์-วันอาทิตย์) มักจะไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าหรือร้านเกมส์ เป็นต้น จึงทำให้วัฒนธรรมประเพณีที่ดี ๆ แต่ปู่ย่าตายายเริ่มจืดจางหายไปจากวิถีชีวิตของคนและชุมชน อย่างต่อเนื่อง ถ้าหากชุมชนไม่ได้ตระหนักถึงการอนุรักษ์สิ่งที่ดี ๆ เหล่านั้นไว้ อาจเกิดการสูญสิ้นวัฒนธรรมจากชุมชนโดยสิ้นเชิง

ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย
1. ผู้นำชุมชนควรเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเองในทุก ๆ ด้าน และคณะกรรมการชุมชนต้องเข้าถึงประชาชนในชุมชนของตนเองทุกหลังคาเรือน รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมภายในชุมชนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความสามัคคี โดยการประชาสัมพันธ์ข่าวสารข้อมูลให้ถึงประชาชนทุกคนทุกครัวเรือน
2. ชุมชนต้องร่วมมือร่วมใจในการดูแลชุมชนของตัวเองให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ความสะอาดของชุมชน ถังขยะ ถนนหนทาง ตลอดจนลำคลองที่ไหลผ่านชุมชน เนื่องจากประชาชนต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไปตลอดและสัมผัสอยู่เสมอจึงควรให้ความสำคัญในการบริหารจัดการร่วมกัน

ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีการวิจัยวิถีชีวิตเป็นรายด้านอย่างลุ่มลึก เช่น การตั้งถิ่นฐานของชุมชน ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านวัฒนธรรม ด้านการเมือง เป็นต้น
2. ควรวิจัยประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน เช่น การมีส่วนร่วมของประชาชน หรือประชาชนในวัยแรงงานของชุมชน คุณภาพชีวิตของคนในชุมชน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการศึกษาของชุมชน การจัดการขยะ สิ่งแวดล้อมของชุมชน หรือศึกษาความต้องการของชุมชน เป็นต้น
-----------------------------------------------------

หนังสืออ้างอิง (References)
กนกวรรณ ชัยทัต. 2548. การสร้างความเป็นสมัยใหม่ด้วยมิติวัฒนธรรม : มุมมองเรื่องพื้นที่ ศึกษาจากพระราชวังดุสิต-วัดเบญจมาบพิตร-ถนนราชดำเนิน ในสมัยรัชกาลที่ 5. วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต (มานุษยวิทยา) คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตดุสิต. 2546. คู่มือท่องเที่ยวพิพิธพันธ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตดุสิต. กรุงเทพมหานคร : กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว.
สำนักงานเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร. ข้อมูลเขตดุสิต [Online]. Accessed 20 April 2552. Available from http://www.dusit.ac.th/department/president_old/homenew/dusit.htm
ชยาภรณ์ ชื่นรุ่งโรจน์. ชุมชนและการพัฒนาชุมชน [Online]. Accessed 30 March 2552.
Available from http://cddweb.cdd.go.th/cdregion04/cdworker/comcd.pdf
สำนักงานเขตดุสิต. 2551. ชุมชนวัดประชาระบือธรรม 1-4. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานเขตดุสิต, หน้า 88-98. (อัดสำเนา)
นันทพร ศรีสุทธะ. 2544. วิถีชีวิตชุมชนกับการเกิดโรคเบาหวาน กรณีศึกษาชุมชนบ้านจัว ตำบลสมัย อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการส่งเสริมสุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สุพัตรา สุภาพ. 2541. สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยม : ศาสนา : ประเพณี. พิมพ์ครั้งที่ 9.กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช,.
เทคนิควิธีการศึกษาชุมชน [Online]. Accessed 5 April 2552. Available from http://computer.pcru.ac.th/emoodledata/23/lesson_doc/lesson_4.doc
สัญญา สัญญาวิวัฒน์. 2543. ทฤษฎีสังคมวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อานนท์ อาภาภิรม. 2525. สังคม วัฒนธรรม และประเพณีไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์.
เสาวภา ไพทยวัฒน์. 2551. วิวัฒนาการและรูปแบบสังคมเมือง: กรณีศึกษาย่านเทเวศร์. งานวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
วีณา เอี่ยมประไพ. 2550. วิถีชีวิตชุมชนคลองบางกอกน้อย. งานวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
ธัญญ ชีวาภรณาวัฒน์. 2544. ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการตั้งถิ่นฐานย่านบางลำพู. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชนินทร์ วิเศษสิทธิกุล. 2547. การเปลี่ยนแปลงชีวิตสังคมเมืองในเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์การวางแผนและเมืองมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อมร บุญต่อ. 2546. การศึกษาโครงสร้างอำนาจของชุมชนในกรุงเทพฯ : กรณีศึกษา ชุมชนราชผาทับทิมร่วมใจ. ปริญญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวางแผนชุมชนเมืองและสภาพแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง.
ปิยะ ประทีปรักมณี. 2546. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ชายทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาประยุกต์ ภาควิชาสังคมและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ภูสิทธ์ ขันติกุล. 2552. การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร. งานวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
ศรีสุดา เตียวโป้. 2545. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล : ศึกษากรณี องค์การบริหารส่วนตำบลดอนชมพูด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
สุกัญญา สุจฉายา และนันทิยา สว่างวุฒิธรรม. 2546. อัตลักษณ์ของชาวสวนคลองภูมิ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร. ทุนวิจัยจากคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ.
วันวิสา อุ่นขจร. 2549. อัตลักษณ์ชองในภาคตะวันออก : กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธ์ชองที่ตำบลคลองพลู กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา.
วิวัฒนชัย บุญญานุพงศ์. 2544. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรมชุมชน : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนมอญบ้านเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี. ปริญญาศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สุกัญญา บูรณเดชาชัย. 2549. วิถีชีวิตและกระบวนการทำประมง : กรณีศึกษาหมู่บ้านประมงหาดวอนนภา ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี. วารสารวิชาการ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 14 ฉบับที่ 20 มหาวิทยาลัยบูรพา.
สุมาลี หวังพุฒิ. 2546. ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านตำบลนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา. ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ.

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร

Work Morale of Teachers of Buddhist Scripture School, General Education Division in Bangkok Area.

ภูสิทธ์ ขันติกุล

อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (ภาคนิพนธ์ปริญญาโท คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม นิด้า)

บทคัดย่อ
ครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นชาย อายุไม่เกิน 30 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สถานภาพโสด เป็นครูฝ่ายคฤหัสถ์ เป็นครูประจำ ทำงานมาแล้วไม่เกิน 3 ปี มีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 5,000-10,000 บาท มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ต่างจังหวัด ระยะจากบ้านพักถึงโรงเรียนน้อยกว่า 10 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมงมีจำนวนคาบที่สอนต่อสัปดาห์ตั้งแต่ 14 คาบขึ้นไป สอนจำนวน 1 รายวิชา มีความถนัดมากในวิชาที่สอน ภาระหน้าที่ในครอบครัวน้อย และมีภาระงานที่ได้รับผิดชอบอื่น ๆ 1 หน้าที่
ครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานในภาพรวมและทุกด้านอยู่ระดับปานกลาง โดยด้านที่มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านผู้บริหารโรงเรียน รองลงมา ได้แก่ด้านความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน ด้านบรรยากาศและสภาพแวดล้อมการทำงาน ด้านโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ ด้านนโยบายและวัตถุประสงค์ของโรงเรียน ด้านการสนับสนุนของหน่วยงานต้นสังกัด ส่วนด้านที่มีระดับความพึง
พอใจน้อยที่สุด คือ ด้านรายได้และสวัสดิการ ส่วนกำลังขวัญในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับดี โดยด้านที่มีระดับกำลังขวัญดีที่สุด คือด้านความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา รองลงมา ได้แก่ด้านความรู้สึกผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน ด้านความสามัคคีรักใคร่ในเพื่อนครู ด้านความตั้งใจและอุทิศตนในการพัฒนาการทำงาน ด้านความรู้สึกมั่นคงและราบรื่นในอาชีพ ด้านความรู้สึกเชื่อมั่นในอาชีพและการยอมรับนับถือ และด้านความยุติธรรมในการปฏิบัติงาน
ปัจจัยที่มีผลต่อกำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ จำนวนรายวิชาที่สอน ภาระหน้าที่ในครอบครัว และความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
คำสำคัญ : กำลังขวัญในการปฏิบัติงาน, ครู, โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา, กรุงเทพมหานคร

ABSTRACT
The majority of teachers of Buddhist Scripture Schools under General Education Division in Bangkok area are males aged 30 years or less, completed a bachelor degree, and are single, layman-teachers, permanent teachers, with work experience of 3 years or less and monthly income between 5,000-10,000 bahts. They are upcountry domiciled, with less than 10 kilometers between their residence and school and 1 hour commutation. Teaching schedule ranges from 14 periods up. They teach one subject and in which they are very skillful. They have less family burden. They also have one other task.
The teachers of Buddhist Scripture School have moderate level of work satisfaction towards every aspect and in overall. Their reported most satisfaction are school administrator, followed by relationship among colleagues, work atmosphere and environment, opportunity for career progression, school policy and objectives, and support from their direct-reported division, whereas least satisfactory is stated in income and fringe benefit. And teachers reported high level of work morale: the most are their faith in Buddhism, followed by their attachment as part of school, unity among peers, intention and devotion to work improvement, sense of secured and smooth work, sense of professional confidence and respect, whereas the least is work fairness.
Factors effecting their work morale include family burden, number of teaching subjects, and work satisfaction.
Keyword: Work Morale, teachers, Buddhist Scripture School under General Education Division, Bangkok

บทนำ
การศึกษาเป็นระบบหนึ่งของสังคมไทยซึ่งมีความสำคัญมากในการทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ทักษะความชำนาญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ถ่ายทอดค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติของคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง ถ่ายทอดกฎระเบียบ จารีต ประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของมนุษย์ ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นอันล้ำค่าจากการหล่อหลอมของบรรพชนสู่เยาวชนรุ่นใหม่ ตราบเท่าที่จะดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ชาติไว้ได้การศึกษาจึงมีวิถีทางในการอบรมขัดเกลามนุษย์ให้มีระดับจิตใจที่เหนือกว่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป หมายความว่า การศึกษาทำให้มนุษย์เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม วัฒนธรรม ประเพณีและกฎหมายที่ไม่สามารถมีได้ในสัตว์อื่น ๆ ดั้งนั้นการศึกษาจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นหลักชัยในการสร้างทรัพยากรของชาติที่ล้ำค่านี้ให้มีคุณภาพ คุณธรรมคู่กับสังคมไทย
ในปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไปบีบบังคับมนุษย์โดยทางอ้อม ยิ่งต้องทำให้มนุษย์มีวิถีชีวิตที่อยู่บนความรีบเร่งตลอดเวลา ทั้งการหาเลี้ยงชีพ การศึกษา การทำงานเพื่อที่จะมีรายได้มาดำรงชีวิตของตนและครอบครัว จนเกิดค่านิยมขึ้นต่าง ๆ เช่น ค่านิยมในด้านการศึกษา ที่ต้องมีใบปริญญาจึงจะมีสิทธิในการเข้าทำงาน ค่านิยมในการฝากงาน หากต้องการเข้าทำงานในสถานที่นั้น ๆ จะต้องรู้จักผู้ที่ทำงานอยู่ก่อนแล้ว หรือผู้มีอิทธิพล หรือมีชื่อเสียง ฝากมา ที่เรียกกันว่า เด็กฝาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ทำให้เยาวชนรุ่นใหม่ ๆ ต้องขวนขวายให้ได้มีโอกาสเรียนในสถานศึกษาที่ดัง ๆ และคณะที่สามารถจบแล้วมีงานทำได้เลย มิใช่เลือกตามที่ตนเองอยากจะเป็น อยากจะเรียน จนทำให้คุณค่าที่แท้จริงของการศึกษาไทยแตกต่างจากอดีตอย่างมากมาย
การศึกษาได้ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมาย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 15 การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546)
(1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตรระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน
(2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมายรูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม
(3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจศักยภาพ ความพร้อม และโอกาสโดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อหรือแหล่งความรู้อื่น ๆ
โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา เป็นโรงเรียนในสังกัดกองพุทธศาสนศึกษาสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาช่วงชั้นที่ 3 และหรือช่วงชั้นที่ 4 เป็นสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดการศึกษาในระบบที่ยึดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย “มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และมีความเป็นไทย มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) เป็นโรงเรียนที่รับสมัครเยาวชน จากทั่วประเทศเข้ามาเรียนหนังสือและเยาวชนเหล่านั้นจะต้องบรรพชาก่อน จึงได้เรียนหนังสือเพื่อเป็นพุทธศาสนทายาทสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป และในเขตกรุงเทพมหานครมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาทั้งสิ้น 12 โรงเรียน ในแต่ละปีนักเรียนและครูมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถคาดการณ์ได้ว่าความมั่นคงในการประกอบอาชีพครูในภายในโรงเรียนพระปริยัติธรรมนั้นลดลง ส่วนภาระหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ ดูแลนักเรียน นั้นยังเหมือนเดิมและมีเพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อภาระหน้าที่ต่าง ๆ ในการอบรมขัดเกลาพระภิกษุ สามเณร ให้เป็นพุทธศาสนทายาทที่ดีงาม เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้กับพุทธศาสนิกชนทั้งหลายนั้น เป็นความรับผิดชอบของครู ที่จะต้องชี้แนะแนวทางอันดีงาม ถวายแก่ศิษยานุศิษย์ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ครู หมายความว่า บุคลากรวิชาชีพซึ่งทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน” (กระทรวงศึกษาธิการ,2546) ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานให้กับครูมากขึ้น เพื่อผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน
การจัดการศึกษาและการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ในโรงเรียนจะสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียนและครูซึ่งเป็นบุคลากรหลักของโรงเรียนเป็นประการสำคัญ และทุกฝ่ายจะสามารถปฏิบัติงานให้สัมฤทธิ์ผลได้ดี หากมีกำลังขวัญในการปฏิบัติงาน ดังที่ Yoder, D. (1959) ได้กล่าวไว้ว่า กำลังใจในการปฏิบัติงานว่า “กำลังขวัญ” เป็นองค์ประกอบที่ประกอบด้วยพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงานและการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของผู้ปฏิบัติงานที่มีต่อการทำงาน ความสัมพันธ์ในการทำงานกับนายจ้างและเพื่อนร่วมงานอื่น ๆนักบริหารส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ให้ความคำนึงถึง “กำลังขวัญ” ของคนทำงานเป็นสำคัญ คนทำงานกำลังขวัญสูง (High Morale) จะเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน และเขาทำงานอย่างมีความสุข และตั้งใจทำงานอย่างดี ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่มีกำลังขวัญต่ำ (Low Morale) จะเป็นผู้ที่ไม่ค่อยสนใจทำงาน ขาดความตั้งใจในการทำงาน ดังนั้น คุณภาพและผลผลิตของงานน่าจะมีความสัมพันธ์ในเชิงปฏิฐาน (Positive Relation) กับกำลังขวัญของผู้ปฏิบัติงานด้วย
อนึ่งครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนอกจากมีหน้าที่สอนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบภาระงานในฝ่ายของตนเองด้วย จนทำให้พบว่าประสิทธิภาพในการทำงานของครูลดลง รวมถึงแรงจูงใจในการทำงานน้อย ค่าตอบแทนต่ำ ขาดความมั่นคงในหน้าที่การงาน ความเจริญก้าวหน้าในอาชีพน้อยสถานภาพของครูยังไม่ได้รับรองตามกฎหมาย ศักดิ์และสิทธิต่าง ๆ ที่ครูโรงเรียนรัฐหรือเอกชนได้รับนั้น ครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจะไม่ได้รับ จึงทำให้ครูส่วนใหญ่ขาดขวัญกำลังใจในการอบรมสั่งสอน การถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียนย่อมมีผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปด้วย ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอน ดังนั้นผลสำเร็จในการทำงานต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับขวัญกำลังใจในการทำงานของครูด้วยเช่นกัน ดังที่ สุนันทา เลาหนันทน์ (2531) กล่าวไว้ว่า “ขวัญกำลังใจของพนักงานเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการบริหารงาน กล่าวคือ ถ้าพนักงานมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานดี จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตและผลผลิตสูงขึ้น” ครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา เป็นบุคลากรที่เสียสละอย่างยิ่ง จำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญในการสร้างแรงจูงใจและพัฒนาขวัญกำลังใจให้กับครูเหล่านั้น เพราะการเอาใจใส่จากผู้บริหารเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะเป็นกำลังใจให้กับครูได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งชาญชัย อาจิน สมาจาร (2527) ได้กล่าวไว้อย่างสอดคล้องว่า “บุคลากรจะทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อเขาได้รับความเอาใจใส่จากองค์การที่เขาทำงานอยู่”
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูสอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา สังกัดกองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้พบสภาพของกำลังขวัญที่เกิดขึ้นกับครูอยู่เป็นประจำมาโดยตลอด ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้วิจัยตระหนักถึงความสำคัญและสนใจเป็นอย่างยิ่งที่จะทำการวิจัยในครั้งนี้ เพื่อให้ทราบถึงสภาพของกำลังขวัญปัจจัยที่มีผลต่อการทำให้เกิดกำลังขวัญ รวมถึงการค้นหาแนวทางในการพัฒนากำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเสนอต่อสถานศึกษา และต้นสังกัดให้หันกลับมาพัฒนาครูในสังกัดของตนเองอย่างมีวิจารณญาณและตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญกับครูทุกคนให้เท่าเทียมต่อไป

แนวคิด ทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
กำลังขวัญ หรือคำว่า ขวัญกำลังใจ นั่นมีความหมายคล้ายคลึงกันและมักใช้ใกล้เคียงกัน บ้างก็ใช้กำลังขวัญ บ้างก็ใช้ขวัญกำลังใจ หรือบางคนใช้เฉพาะคำว่า ขวัญ หรือ กำลังใจ ก็มีความหมายคล้ายคลึงกัน เมื่อเป็นคำที่เปิดสำหรับการศึกษาจึงมีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายของคำว่า กำลังขวัญ หรือ ขวัญกำลังใจ หรือ ขวัญ ไว้ดังเช่น Flippo, E.B. (1961) ให้ความหมาย กำลังขวัญว่าหมายถึง สภาพทางจิตใจ หรือความรู้สึกของแต่ละคน บุคคลหรือของกลุ่มคน ที่บ่งให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะร่วมมือประสานงาน หรือ Davis, R.C. (1951) ให้ความหมายของขวัญกำลังใจว่า หมายถึง สภาพที่เกิดขึ้นและสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจและสภาพการทำงาน เช่น ความกระตือรือร้น อารมณ์ ความหวัง ความเชื่อมั่น และทัศนคติ ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีต่อสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานและต่อความร่วมมือกันอย่างเต็มความสามารถของบุคคลในหน่วยงาน และยังมีพนัส หันนาคินทร์ (2542) ได้กล่าวไว้ว่า กำลังขวัญ หมายถึง ปฏิกิริยาทางอารมณ์ในองค์การมีต่องานอันมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนและเห็นได้ชัดเจน ขวัญหรือน้ำใจในการทำงานนี้อาจจะเป็นของแต่ละบุคคล หรือเป็นของกลุ่มก็ได้ แต่จะเป็นของแต่ละบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ย่อมจะเป็นไปในลักษณะที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อความสำเร็จของงานโดยส่วนรวมอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือคนแต่ละคนจะเสียสละเพื่อคณะหรือส่วนรวม และในขณะเดียวกันคณะหรือส่วนรวมก็พร้อมที่จะเสียสละเพื่อแต่ละคนได้เช่นเดียวกัน ดังที่กล่าวว่า “One for all and all for one” รวมถึง วิชัย แหวนเพชร (2543) ได้ให้ความหมายของคำว่า ขวัญ หมายถึง สภาพของจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสภาวการณ์ต่าง ๆ โดยแสดงออกมาเป็นความตั้งใจ กำลังใจ ความสามัคคีของแต่ละบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มุ่งทำงานด้วยความพยายามและความรับผิดชอบ เพื่อให้สภาวการณ์หรืองานนั้นสำเร็จบรรลุวัตถุประสงค์ เป็นต้น
นอกจากนี้ทฤษฏีที่กล่าวถึงกำลังขวัญ หรือขวัญกำลังใจ เมื่อพิจารณาจากความหมายของนักวิชาการที่กล่าวมาข้างยังสะท้อนความพึงพอใจของคน หรือกลุ่มคนที่ปฏิบัติงานเอาไว้ด้วย ดังนั้นทฤษฎีที่เกี่ยวกับกำลังขวัญหรือขวัญกำลังใจจะต้องสะท้อนความพึงพอใจด้วย เป็นต้นว่า ทฤษฏีความต้องการตามลำดับขั้นของ Maslow’s ซึ่ง Maslow, A.H. (1954) ได้จัดลำดับความต้องการของมนุษย์ไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจึงเรียกว่า ความต้องการของมนุษย์อย่างมีระเบียบนี้ว่า hierarchy of human needs โดยเรียงลำดับขั้นของความต้องการไว้ตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ 1) ความต้องการทางด้านสรีระวิทยา (physiological needs) 2) ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัยของชีวิต (safety and security needs) 3) ความต้องการผูกพันทางสังคม (belonging and social needs) 4) ความต้องการที่จะมีเกียรติยศชื่อเสียง (esteem and self respect needs) 5) ความต้องการความสำเร็จแห่งตน (self-actualization needs) เป็นความต้องการของมนุษย์ที่สูงสุดตามแนวคิดของ Maslow และยังมีทฤษฎีสองปัจจัยของ Herzberg, F.B. & Synderman, B.B. (1959)ได้แก่ 1) ปัจจัยจูงใจ (Motivation Factor) 2) ปัจจัยค้ำจุน (Maintenance Factor) หรือ อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปัจจัยสุขอนามัย” รวมถึงแนวคิดของ McGregor (1960) ได้เสนอทฤษฎี X และทฤษฎี Y ทฤษฎีทั้งสองนี้มีสมมติฐานในการมองมนุษย์คนละอย่างกันหรือตรงกันข้าม
อนึ่งความพึงพอใจเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสะท้อนความมีกำลังขวัญในการปฏิบัติงานหรือไม่เช่นเดียวกัน ซึ่งนักวิชาการให้ความสำคัญไว้ว่า Wahba H. (1978) ได้แสดงทัศนะว่าความพึงพอใจในการปฏิบัติงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ทั้งในด้านทฤษฎีและการปฏิบัติ เพราะงานที่น่าพึงพอใจนั้น เป็นสิ่งที่ปรารถนาของมนุษย์ และมีความหมายต่อชีวิตของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีคุณค่า บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แต่ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานนั้น จะนำไปสู่ปัญหาด้านอารมณ์ จิตใจและจะเชื่อมโยงไปให้เกิดอาการป่วยไข้ทางด้านร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ความสำคัญนี้ได้สะท้อนความหมายของความพึงพอใจที่ว่า อุษา บุญรอด (2546) ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานไว้ว่า เป็นความรู้สึกหรือทัศนคติในทางที่ดีขอบุคคลที่มีต่องานและมีต่อปัจจัยต่าง ๆ ในการทำงาน เช่น สภาพการทำงาน ลักษณะของงาน นโยบายและการบริหารงาน เป็นต้น ความรู้สึกนี้เกิดจากหน่วยงานหรือองค์กรมีการตอบสนองความต้องการทั้งทางกายและจิตใจ เป็นผลทำให้การปฏิบัติงานของบุคคลนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือหน่วยงานอย่างสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเมื่อใดที่ไม่ได้รับความพึงพอใจบุคคลนั้นย่อมจะแสดงพฤติกรรมออกมาในรูปของความก้าวร้าว ไม่สนใจในการปฏิบัติงาน ขาดงาน ตลอดลาออกจากงาน เป็นต้น มีผลให้หน่วยงานเกิดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานได้ นอกจากนี้งานวิจัยในครั้งนี้ยังได้สะท้อนวรรณกรรมจากผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องไว้ ดังเช่น วิชัย ครองยุติ (2541) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ: ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ณรรฐพล สัญฑมาศ (2542) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของพนักงานครูเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มนูญ จันทร์สุข (2544) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในโรงเรียนเสี่ยงภัยและกันดาร จังหวัดยะลาและอารีรัตน์ อูเซ็ง (2546) ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดสำนักงานการประถมศึกษา อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส เป็นต้น
จากแนวคิด ทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องได้นำมาสังเคราะห์และประยุกต์เป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาไว้ดังนี้















แผนภูมิ กรอบแนวคิดในการศึกษากำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาระดับกำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร
2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อกำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร

ขอบเขตของการวิจัย
1. ขอบเขตด้านพื้นที่ประชากร กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา คือ ครูในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร สังกัดกองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
2. ขอบเขตด้านเนื้อหา ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีประเด็นเนื้อหาครอบคลุมองค์ประกอบของกำลังขวัญในการปฏิบัติงาน 7 ด้าน คือ ด้านความตั้งใจและอุทิศตนในการพัฒนาการทำงาน ด้านความสามัคคีรักใคร่ในเพื่อนครู ด้านความรู้สึกมั่นคงและราบรื่นในอาชีพ ด้านความรู้สึกเชื่อมั่นในอาชีพและการยอมรับนับถือ ด้านความยุติธรรมในการทำงาน ด้านความรู้สึกผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน และด้านความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา
3. ขอบเขตด้านระยะเวลา กำหนดเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลระหว่างเดือน มีนาคม – มิถุนายน 2551
ผลการวิจัย
ผลการวิจัย เรื่อง กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ลักษณะข้อมูลทั่วไปของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็น เพศชาย (ร้อยละ 79.7) มีอายุ อยู่ในช่วงไม่เกิน 30 ปี (ร้อยละ 33.7) จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 87.1) มีสถานภาพโสด (ร้อยละ 67.3) เป็นคฤหัสถ์(ร้อยละ 67.3) เป็นครูประจำ (ร้อยละ 58.9) ทำงานมาแล้วไม่เกิน 3 ปี (ร้อยละ 55.1) มีรายได้ต่อเดือนอยู่ระหว่าง 5,000-10,000 บาท (ร้อยละ 80.2) มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ต่างจังหวัด (ร้อยละ 64.1)มีระยะทางจากบ้านพักถึงโรงเรียนน้อยกว่า 10 กิโลเมตร (ร้อยละ 52.1) ใช้เวลาในการเดินทาง 1 ชั่วโมง (ร้อยละ 49.4) มีจำนวนคาบที่สอนต่อสัปดาห์ตั้งแต่ 14 คาบขึ้นไป (ร้อยละ 51.0) สอนจำนวน 2 วิชาขึ้นไป (ร้อยละ 52.5) มีความถนัดมากในวิชาที่สอน (ร้อยละ 52.8) มีภาระหน้าที่ในครอบครัวน้อย (ร้อยละ 55.7) และมีภาระงานที่ได้รับผิดชอบอื่น ๆ 1 หน้าที่ (ร้อยละ 60.0)
ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด คือ ด้านผู้บริหารโรงเรียน (ค่าเฉลี่ย 3.64) รองลงมา ด้านความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน (ค่าเฉลี่ย 3.61) ด้านบรรยากาศและสภาพแวดล้อมการทำงาน (ค่าเฉลี่ย 3.44) ด้านโอกาสก้าวหน้าในอาชีพ (ค่าเฉลี่ย 3.43) ด้านนโยบายและวัตถุประสงค์ของโรงเรียน (ค่าเฉลี่ย 3.39) ด้านการสนับสนุนของหน่วยงานต้นสังกัด (ค่าเฉลี่ย 3.06) และด้านที่มีระดับความพึงพอใจน้อยที่สุดคือ ด้านรายได้และสวัสดิการ (ค่าเฉลี่ย 2.82)
กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีระดับกำลังขวัญดีที่สุด คือด้านความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา (ค่าเฉลี่ย 4.21) รองลงมา ด้านความรู้สึกผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน (ค่าเฉลี่ย 4.01) ด้านความสามัคคีรักใคร่ในเพื่อนครู (ค่าเฉลี่ย 3.83) และด้านความตั้งใจและอุทิศตนในการพัฒนาการทำงาน (ค่าเฉลี่ย 3.72) ด้านที่มีระดับกำลังขวัญปานกลาง คือ ความรู้สึกมั่นคงและราบรื่นในอาชีพ (ค่าเฉลี่ย 3.57) ด้านความรู้สึกเชื่อมั่นในอาชีพและการยอมรับนับถือ (ค่าเฉลี่ย 3.51) และด้านความยุติธรรมในการปฏิบัติงาน (ค่าเฉลี่ย 3.41)
ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อกำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ จำนวนรายวิชาที่สอน ภาระหน้าที่ในครอบครัว และระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน

วิจารณ์
จากผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นพบว่า ครูส่วนใหญ่ที่สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่มีอัตราเงินเดือนไม่เหมาะสมกับค่าครองชีพที่อยู่ในสภาพของเมืองหลวง และมีครูจำนวนไม่น้อยที่ต้องหารายได้เสริมด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การค้าขายหลังเลิกเรียน การสอนพิเศษ เป็นต้น
เหตุผลที่สำคัญที่ว่า ครูทำไมถึงต้องทำงานอยู่ที่โรงเรียนเหล่านี้ในเมื่อค่าตอบแทนน้อย ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า ครูที่สอนในโรงเรียนแห่งนี้มีความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาต่อพุทธศาสนา มีความรู้สึกผูกพันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน รวมถึงความสามัคคีรักใคร่ในเพื่อนครู อันเนื่องมาจากครูส่วนใหญ่ที่สอนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในเขตกรุงเทพมหานคร ตระหนักถึงความสำคัญของโรงเรียนแห่งนี้ว่าเป็นโรงเรียนที่ทำการสอนให้แก่พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา อันเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มั่นคงด้วย ทำให้การได้มาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้จะทำให้ได้มีโอกาสในการสร้างบุญกุศลซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธศาสนิกชนทุกคนปรารถนานั่นเอง และรวมถึงการเชิดชูพระพุทธศาสนาให้ยาวนานด้วยการถวายความรู้ต่อผู้เป็นพุทธศาสนทายาทตลอดไปได้ จึงทำให้ครูที่สอนอุทิศเวลาในการถวายความรู้ให้กับพระภิกษุสามเณรอย่างเต็มกำลังความสามารถ
บทสรุปสุดท้ายของผู้วิจัยอยากสะท้อน ด้วยใจความของผลการวิจัยให้ครูและประชาชนได้เข้าใจไว้ว่า “การทำงานในองค์กรใดองค์กรหนึ่งผู้ปฏิบัติงานจะทุ่มเทและเสียสละให้กับองค์กรนั้น ๆ มิใช่ปัจจัยเรื่องเงินทอง เป็นสำคัญนัก ยังคงมีปัจจัยที่มองไม่เห็นที่คอยเป็นกำลังขวัญให้กับผู้ปฏิบัติงาน ได้ช่วยกันสร้างองค์นั้น ๆ ให้ก้าวหน้า มั่นคงและยั่งยืน”
-------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. 2544. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544.กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ.
________. 2546. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ).
ชาญชัย อาจินสมาจาร. 2527. การบริหารการศึกษา. ปัตตานี: สำนักงานเลขานุการ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
ณรรฐพล สัณฑมาศ. 2542. กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของพนักงานครูเทศบาลเมือง วารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี. ภาคนิพนธ์คณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
พนัส หันนาคินทร์. 2542. ประสบการณ์ในการบริหารบุคลากร. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มนูญ จันทร์สุข. 2544. ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูในโรงเรียนเสี่ยงภัยและกันดารจังหวัดยะลา. ภาคนิพนธ์คณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
วิชัย ครองยุติ. 2541. กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ: ศึกษาเฉพาะกรณี อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี. ภาคนิพนธ์คณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
วิชัย แหวนเพชร. 2543. มนุษยสัมพันธ์ในการบริหารอุตสาหกรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ธรรมกมล.
สุนันทา เลาหนันทน์. 2531. การพัฒนาองค์การ(Organization Development). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา.
อารีรัตน์ อูเซ็ง. 2546. กำลังขวัญในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูโรงเรียนสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส. ภาคนิพนธ์คณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
อุษา บุญรอด. 2546. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรพยาบาล โรงพยาบาล หนองจอก สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร. ภาคนิพนธ์คณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
Davis, R.C. 1951. The Fundamentals of Top Management. New York: Harper and Brother, Co.
Flippo, E.B. 1961. Principles of Personal Management. New York: McGraw- Hill, Inc.
Herzberg, F.B. & Synderman, B.B. 1959. The Motivation to Work. New York: John Wiley & Sons. McGREGOR D (1960) The Human Side of Enterprise New York McGraw-Hill
Maslow, A.H. 1954. Motivation and Personality. New York: Haper and Brothers.
Yoder, D. 1959. Personnel Principles and Policies. Maruzen Company, Ltd.
Wahba, H. (1978), "Motivation, performance and job satisfaction of librarians", Law Library Journal, Vol. 71.

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนกับการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

The Participation of Community Committee in Sub-community Development in Dusit District, Bangkok.

ภูสิทธ์ ขันติกุล
อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

บทคัดย่อ
กรรมการชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุไม่เกิน 46 ปี สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา ม.6 หรือปวช. มีอาชีพรับจ้าง รายได้ต่อเดือน 3,000-6,000 บาท และไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมใด ๆ โดยกรรมการชุมชนเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ และอาศัยอยู่ในชุมชนตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
กรรมการชุมชนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของกรรมการชุมชนอยู่ในระดับมาก ส่วนการรับรู้ข้อมูลข่าวสารการพัฒนาชุมชนและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของกรรมการชุมชน เกือบทั้งหมดเคยได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน และได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารการพัฒนาชุมชนจากเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบมากที่สุด และยังได้รับการพัฒนาชุมชนในลักษณะการจัดประชุมกรรมการชุมชน การศึกษาดูงาน และการฝึกอบรมตามลำดับ
การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านที่มีระดับการมีส่วนร่วมมากที่สุด คือ ด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในการพัฒนาชุมชน ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชน ได้แก่อายุ อาชีพ รายได้ต่อเดือน และการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม

ABSTRACT
The majority of community committee members of Dusit District are male, less than 46 years of age, married, graduated at high-school or vocational level, and has a monthly income between 3,000 – 6,000 Baht and are only few of them belong to societal group. Almost all community committee members are Buddhist and the members have lived in the community for 10 years and above.
In terms of the acknowledgement of sub-community development news and understanding of roles and duties of community committee, almost all samples received information on sub-community development and sub-community development news from government officials as the main source. Less often, information was received from the radio and television. Moreover, the community committee also received sub-community development from state agencies and Dusit District Office in the form of community committee meetings, observations and community committee trainings. The majority of community committee has a high level of knowledge on the roles and duties of the community committee.
The overall level of participation of community committee in sub-community development is high. When considered individually, the level of participation is high in all aspects. The highest level of participation is found in searching problems in sub-community development and their causes, followed by the investment in sub-community development, development planning, and evaluation of sub-community development and Factors that contribute to the level of participation in sub-community development in Dusit District, Bangkok, consist of age, occupation, monthly income and membership in societal groups.

บทนำ (Introduction)
ประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยหลักการสำคัญของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยคือการปกครองเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เมื่ออำนาจตามหลักการการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นของประชาชนแล้วไซร้ ประเทศไทยย่อมมีอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยเช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นได้บ่งชี้ให้รัฐได้ตระหนักว่า การปกครองประเทศและการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต รัฐจะต้องส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของประเทศในการกำหนดชะตา และแนวทางการพัฒนาประเทศไปในทิศทางใดร่วมกันด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ชี้สะท้อนแนวทางของการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้อย่างเป็นรูปธรรม โดยการที่รัฐบาลได้พยายามให้มีการกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น โดยได้กำหนดไว้ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (3) ได้กำหนดไว้ว่า “กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น” (ราชกิจจานุเบกษา, 2550) ชี้ชัดว่าประชาชนได้เข้ามามีบทบาทเป็นผู้กำหนดทิศทางการปกครองท้องถิ่นของตัวเองให้มีอิสระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ย่อมจะส่งผลให้เกิดองค์ความรู้ของชุมชนและเป็นการสร้างฐานรากของประเทศให้ยั่งยืนแก่การปกครองแบบระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้มั่นคง
การวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดพื้นที่ไว้ที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่เป็นจุดเริ่มต้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ และกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตดุสิตเป็นเขตที่มีสถาบันที่สำคัญของประเทศตั้งอยู่มากมาย เช่น รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล กระทรวง กรมกองต่าง ๆ นับเป็นเขตที่มีความเจริญอย่างมากทั้งการคมนาคม การค้า การศึกษา สุขภาพอนามัย จึงทำให้ประชาชนอพยพเข้ามาอยู่อาศัยกันอย่างมากมายจนมีความหนาแน่นมากขึ้น จนในที่สุดก่อให้เกิดการรวมตัวกันเป็นชุมชนเพื่อร่วมกันเป็นกลไกหนึ่งทำการขับเคลื่อนต่อการพัฒนาชุมชนของเขตดุสิตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันนี้เขตดุสิตมี 44 ชุมชน แต่ละชุมชนที่ตั้งขึ้นมีการบริหารจัดการโดยคณะกรรมการชุมชนมาจากการเลือกตั้งของคนในชุมชน ตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกรรมการชุมชน พ.ศ.2534 เมื่อนับรวมคณะกรรมการในเขตดุสิตแล้วย่อมไม่น้อยกว่า 308 คน ซึ่งแต่ละชุมชนมีจำนวนประชากร และสภาพทั่วไปของชุมชนแตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นฐานของแต่ละชุมชน บางชุมชนเป็นชุมชนแออัด และชุมชนเมือง ดังนั้นบทบาทในการพัฒนาชุมชนที่สำคัญจึงตกอยู่ที่กรรมการชุมชนทุกชุมชนจะต้องวางแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชน แต่กลับเป็นว่าสิ่งที่ปรากฏอย่างชัดเจนในหลายชุมชนเมื่อผู้วิจัยได้ลงสำรวจชุมชน นั่นก็คือปัญหาเกิดที่การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนที่จะพัฒนาชุมชนของตนเองนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องศึกษาให้รู้ถึงระดับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ รวมถึงปัญหาอุปสรรคในการมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาชุมชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

แนวคิด ทฤษฎี และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Literature)
การมีส่วนร่วม (Participation) เป็นคำที่มีความหมายในเชิงของความเป็นประชาธิปไตยอย่างสูงซึ่งตรงกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ราชกิจจานุเบกษา, 2550) ได้ตราไว้อย่างชัดเจนโดยกำหนดเป็นแนวนโยบายการมีส่วนร่วมของประชาชน ในมาตราที่ 87 ไว้ 5 ประการ ได้แก่ 1) ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น 2) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะ 3) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพหรือตามสาขาอาชีพที่หลากหลาย หรือรูปแบบอื่น 4) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง และจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุมชน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายทุกรูปแบบให้สามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอความต้องการของชุมชนในพื้นที่ 5) ส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการหลายท่านได้แสดงแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมไว้อย่างมากมาย ได้แก่ Erwin William (1976) ได้แสดงแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมไว้ว่า การมีส่วนร่วมเป็นกระบวนการที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานพัฒนา ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ แก้ปัญหาของตัวเอง เน้นการมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแข็งขันกับประชาชน ใช้ความคิดสร้างสรรค์และความชำนาญของประชาชนแก้ไขร่วมกับการใช้วิทยาการที่เหมาะสมและสนับสนุน ติดตามการปฏิบัติงานขององค์การและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับแนวคิดของ ยุวัฒน์ วุฒิเมธี (2536) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมว่า การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ่ม การพิจารณาตัดสินใจ การร่วมปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ อันมีผลกระทบทั้งตัวประชาชนเอง และยังมี ดิเรก ฤกษ์หร่าย (2524) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมในท้องถิ่นว่า กระบวนการที่สมาชิกของชุมชนที่กระทำการออกมาในลักษณะของการทำงานร่วมกันที่จะแสดงให้เห็นถึงความต้องการร่วม ความสนใจร่วมมีความต้องการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายร่วมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง หรือดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้เกิดอิทธิพลต่อรองอำนาจมติชน ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม หรือการดำเนินงานกันเพื่อให้เกิดอิทธิพลต่อรองอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ การปรับปรุงสถานภาพทางสังคมในกลุ่มชุมชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ประยุกต์แนวคิดของ Cohen & Uphoff (1980) ที่ได้เสนอรูปแบบการมีส่วนร่วมออกเป็น 4 แบบ ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) 2) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน (Implementation) 3) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ (Benefits) 4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) และแนวคิดของ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง (2527) ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาไว้ 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมในการค้นหาปัญหา และสาเหตุของปัญหา 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินกิจการ 3) การมีส่วนร่วมในการลงทุน และปฏิบัติงาน 4) การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล มาใช้เป็นกรอบแนวคิด (Conceptual Framework) ในการวิจัยในครั้งนี้ด้วย และสิ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดนั่นก็คือการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ซึ่งผู้วิจัยให้ความสำคัญกับตัวผู้นำชุมชนมาเป็นอันดับแรก เนื่องจากเมื่อผู้นำชุมชนมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมที่มากย่อมส่งผลต่อการพัฒนาชุมชนที่ดีไปด้วยนั่นเอง เมื่อกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมีอยู่หลายลักษณะตามแนวคิดของ ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ (2543) ได้กล่าวถึงลักษณะที่เป็นกระบวนการในการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการพัฒนา ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมในการศึกษาชุมชน จะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนได้ร่วมกันเรียนรู้สภาพของชุมชน การดำเนินชีวิต ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการทำงาน และร่วมกันค้นหาปัญหา สาเหตุของปัญหา ตลอดจนจัดลำดับความสำคัญของปัญหา 2) การมีส่วนร่วมในการวางแผน โดยจะมีการรวมกลุ่มอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเพื่อกำหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ วิธีการ แนวทางการดำเนินงาน และทรัพยากรที่ต้องใช้ 3) การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานพัฒนา โดยสนับสนุนด้านวัสดุ อุปกรณ์ แรงงาน เงินทุน หรือเข้าร่วมบริหารงาน การใช้ทรัพยากร การประสานงานและดำเนินการขอความช่วยเหลือจากภายนอก 4) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา เป็นการนำเอากิจกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านวัตถุ และจิตใจ โดยอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันของบุคคลและสังคม 5) การมีส่วนร่วมในการติดตาม และประเมินผลการพัฒนา เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทันที
นอกจากแนวคิดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนแล้วยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชนด้วย เช่น ฉวีวรรณ สุมงคล (2550) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชน ศึกษากรณี : ชุมชนในพื้นที่เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ปรีดา เจษฎาวรางกูล (2550) ได้วิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนในเขต เทศบาลเมืองคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ชูเกียรติ เปี่ยมศรี (2543) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนย่อย ศึกษาเฉพาะกรณี เทศบาลเมืองระยอง จังหวัดระยอง สมชัย ศิริสมบัติ (2545) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาเทศบาลไปสู่ “เมืองน่าอยู่” กรณีศึกษาเทศบาลเมืองบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ธนาวิทย์ กางการ (2546) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนในเขตเทศบาล ตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เจตน์ มงคล (2547) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชนเทศบาลตำบลบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาวิตรี ทองยิ้ม (2550) ศึกษาเรื่อง การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการหมู่บ้าน ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้เป็นการศึกษาการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชน หรือผู้นำชุมชนโดยตรง แต่ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนแต่เน้นไปที่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมและการมีส่วนร่วมในการวางแผน เช่น ภัสสุรีย์ คูณกลาง (2546) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชน ในการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน เทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ธัชฤทธิ์ ปนารักษ์ (2540 อ้างถึงใน ขนิษฐา ศรีนนท์, 2544) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อกรณีมีส่วนร่วมของสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในการจัดทำแผนการพัฒนาตำบล ศึกษาเฉพาะกรณี อบต.ในเขตอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนิษฐา ศรีนนท์ (2544) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนย่อยต่อการวางแผนพัฒนาเทศบาลนครนนทบุรี สุภชัย ตรีทศ (2547) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนต่อการวางแผนพัฒนาเทศบาลเมืองชลบุรี และแพทยา แก้วพวง (2533 อ้างถึงใน ชูเกียรติ เปี่ยมศรี. 2543) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการหมู่บ้านในการบริหารงานพัฒนาท้องถิ่น ศึกษาเฉพาะกรณีอำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้มีวัตถุประสงค์หลักอยู่ที่การหาระดับการมีส่วนร่วมต่อการวางแผนพัฒนา เพียงด้านใดด้านหนึ่ง และปัจจัยที่มีส่วนร่วมที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมซึ่งเป็นปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจ เป็นต้น

กรอบแนวคิด (Conceptual Framework)





ภาพ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามกรอบแนวคิดในการวิจัย

วัตถุประสงค์ (Objective)
1. เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมและสภาพปัญหาของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

ประโยชน์ที่จะได้รับ
1. ได้ข้อมูลระดับการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชน
2. ได้ข้อมูลสภาพปัญหาของการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชน
3. ได้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
4. ได้ข้อเสนอแนะ และแนวทางแก้ไขต่อปัญหาและอุปสรรคของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน
5. นำองค์ความรู้ที่ได้จาการวิจัยไปเผยแพร่เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารในการพัฒนาชุมชนของเขตดุสิต ตลอดจนผู้สนใจทั่วไป
วิธีการ(Methods)
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนในการศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบเจาะจงได้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย 308 ตัวอย่างมาจากตำแหน่งตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกรรมการชุมชน พ.ศ.2534 ในหมวด 2 ข้อ 9 คณะกรรมการชุมชน ตามวิธีการสุ่มตัวอย่าง ดังต่อไปนี้
วิธีการสุ่มตัวอย่าง
การวิจัยในครั้งนี้ใช้การสุ่มตัวอย่างใช้วิธีแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยคัดเลือกคณะกรรมการที่อยู่ในตำแหน่งตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกรรมการชุมชน พ.ศ.2534 ที่ได้กำหนดกรรมการชุมชนไว้ในหมวด 2 ข้อ 9 คณะกรรมการชุมชน ประกอบด้วยตำแหน่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) ประธานกรรมการ จำนวน 1 คน
(2) รองประธานกรรมการ จำนวน 1 คน
(3) เลขานุการ จำนวน 1 คน
(4) เหรัญญิก จำนวน 1 คน
(5) นายทะเบียน จำนวน 1 คน
(6) ประชาสัมพันธ์ จำนวน 1 คน
(7) ตำแหน่งอื่นใด ตามที่คณะกรรมการชุมชนเห็นสมควรแต่งตั้ง (กำหนดให้เป็นกรรมการชุมชน) จำนวน 1 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาจากการศึกษากรอบแนวคิด แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและอาศัยแนวทางจากงานวิจัยที่ผ่านมาแล้ว ในการสร้างเครื่องมือในการวิจัยในครั้งนี้ได้แบ่งเนื้อหาและโครงสร้างของแบบสอบถามออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ปัจจัยส่วนบุคคล ส่วนที่ 2 ปัจจัยด้านสังคม ส่วนที่ 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของกรรมการชุมชน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในการพัฒนาชุมชน ด้านการวางแผนดำเนินการพัฒนาชุมชน ด้านการลงทุนปฏิบัติการพัฒนาชุมชน และด้านการติดตามประเมินผลในการพัฒนาชุมชน ส่วนที่ 4 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัญหา อุปสรรคการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชน และข้อเสนอแนะ
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) โดยใช้สถิติดังนี้
1. สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Arithmetic Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อบรรยายข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากรที่ศึกษา
2. สถิติอนุมาน (Inductive Statistics) หรือ สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) เพื่อทำการเปรียบเทียบและทดสอบข้อมูล ได้แก่ Independent - Samples T test (T-test), One-Way ANOVA (F-test) และทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ โดยใช้สถิติ Correlation

ผล (Result)
ผลการศึกษา เรื่อง การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ผู้วิจัยวิเคราะห์เพื่อตอบโจทย์วัตถุประสงค์อย่างชัดเจนโดยให้น้ำหนักความสำคัญที่ระดับการมีส่วนร่วม สภาพปัญหาและปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม โดยนำเสนอผลการศึกษาในประเด็นที่เป็นภาพรวมและประเด็นที่น่าสนใจตามลำดับดังนี้
ประเด็นที่เป็นภาพรวม
กรรมการชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เกือบทั้งหมดเคยได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน (ร้อยละ 90.7) ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารการพัฒนาชุมชน อันดับ 1 จากเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบ อันดับ 2 โทรทัศน์ และส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของกรรมการชุมชน
กรรมการชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.52) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีระดับการมีส่วนร่วมมากที่สุด คือ ด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในการพัฒนาชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.56) รองลงมา ด้านการลงทุนปฏิบัติการพัฒนาชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.52) ด้านการวางแผนดำเนินการพัฒนาชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.50) และด้านการติดตามประเมินผลในการพัฒนาชุมชน (ค่าเฉลี่ย 3.47) ดังแผนภูมิดังต่อไปนี้


แผนภูมิ แสดงค่าเฉลี่ยจำแนกตามรายด้านการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชน ประกอบด้วยอายุ อาชีพ รายได้ต่อเดือน และการเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม
ปัญหาอุปสรรคการมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 5 ลำดับแรกที่มีความถี่มากที่สุด ได้แก่ ประชาชนไม่มีเวลาที่จะทำงานให้กับชุมชน รองลงมา งบประมาณในการดำเนินงานพัฒนาชุมชนน้อย ประชาชนขาดความสามัคคี เกิดการแตกแยกในชุมชน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ และปัญหาส่วนตัว เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำงาน ฯลฯ ส่วนปัญหาอุปสรรคที่มีความถี่น้อยที่สุด คือ หน่วยงานของรัฐ และกรุงเทพมหานครไม่เห็นความสำคัญ ปล่อยให้ชุมชนพึ่งตนเอง
ประเด็นที่น่าสนใจ
ความเป็นเพศในการแบ่งว่าเป็นเพศชายและเพศหญิงของกรรมการชุมชนในเขตดุสิต มีบทบาทในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนไม่แตกต่างกันเลย ส่วนสถานภาพของกรรมการชุมชน ทั้งที่เป็นสถานภาพโสด, สมรส, ม่าย/หย่าร้าง และแยกกันอยู่ มีบทบาทในการมีส่วนร่วมการพัฒนาชุมชนไม่แตกต่างกัน พร้อมทั้งระดับการศึกษาของกรรมการชุมชนไม่ว่าจะจบระดับการศึกษาต่ำกว่า ม.3, ม.3, ม.6 หรือ ปวช., อนุปริญญา หรือ ปวส., ปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี มีบทบาทในการมีส่วนร่วมการพัฒนาชุมชนไม่แตกต่างกัน เช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องอายุของกรรมการแต่ละคน พบว่า กรรมการชุมชนที่มีอายุแตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ส่วนกรรมการที่มีอาชีพแตกต่างกันมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมการชุมชนที่มีอาชีพเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่ากรรมการที่มีอาชีพเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน ส่วนกรรมการชุมชนที่มีอาชีพรับจ้าง มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่ากรรมการที่มีอาชีพเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน และกรรมการชุมชนที่มีอาชีพเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่ากรรมการที่มีอาชีพเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน ตามแผนภูมิดังนี้

แผนภูมิ แสดงค่าเฉลี่ยจำแนกตามอาชีพของคณะกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

ส่วนกรรมการที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกันมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะกรรมการชุมชนที่มีรายได้ต่อเดือน 6,001-9,000 บาท มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่ากรรมการชุมชนที่มีรายได้ต่อเดือน 9,001-12,000 บาท และ12,001-15,000 บาท และกรรมการชุมชนที่มีรายได้ต่อเดือน 15,001 บาทขึ้นไป มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนมากกว่ากรรมการชุมชนที่มีรายได้ต่อเดือน 9,001-12,000 บาท และ12,001-15,000 บาท ตามแผนภูมิดังนี้


แผนภูมิ แสดงค่าเฉลี่ยจำแนกตามรายได้ของคณะกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
ส่วนกรรมการชุมชนคนใดที่เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมอื่น ๆ นอกเหนือจากตำแหน่งกรรมการชุมชนมีความแตกต่างกันกับกรรมการชุมชนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมอื่น ๆ
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือกรรมการชุมชนเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในชุมชนตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และนับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

วิจารณ์ (Discussion)
ถึงแม้ว่าภาพรวมของกรรมการชุมชนในเขตดุสิต กรุงเทพมหานครจะมีบทบาทที่สำคัญในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอยู่ในระดับมากทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาในการพัฒนาชุมชน ด้านการลงทุนปฏิบัติการพัฒนาชุมชน ด้านการวางแผนดำเนินการพัฒนาชุมชน และด้านการติดตามประเมินผลในการพัฒนาชุมชน แต่ยังมีจุดแตกต่างภายในรายด้านให้เห็นเช่นกัน เป็นต้นว่า ด้านการติดตามประเมินผลในการพัฒนาชุมชน เมื่อมีการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมในการพัฒนาชุมชนแล้วนั้น ผลลัพธ์ที่เกิดจากการดำเนินงานของโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อสิ้นสุดการดำเนินงาน ยังไม่พบว่ามีการนำข้อบกพร่องของผลการปฏิบัติงานมาปรับปรุงแก้ไขในการดำเนินงานครั้งต่อไป รวมถึงการประเมินผลการปฏิบัติงานเมื่อเสร็จสิ้นสุดแผนงาน ยังขาดการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานทุกขั้นตอนของแผนพัฒนาชุมชนด้วย และการติดตาม ตรวจสอบยังไม่เป็นระบบครอบคลุมทุกขั้นตอนและยังขาดความต่อเนื่องของการประเมินผล แต่ถึงอย่างไร ทุก ๆ โครงการและกิจกรรมยังมีการติดตามประเมินผลในหลาย ๆ โครงการหรือกิจกรรมอยู่เช่นกัน ส่วนด้านการลงทุนปฏิบัติการพัฒนาชุมชน ก็พบว่ามีประเด็นในเรื่องของการเสียสละทุนทรัพย์ในการดำเนินโครงการและกิจกรรมให้กับประชาชนในชุมชนมีความแตกต่างกับประเด็นอื่น ๆ ในด้านนี้อย่างมากเช่นกัน
ดังนั้นผู้วิจัยจึงขอเสนอแนะว่า การลงทุนปฏิบัติการพัฒนาชุมชนของกรรมการชุมชนในประเด็นการเสียสละทุนทรัพย์ในการดำเนินโครงการและกิจกรรมให้กับประชาชนในชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการดำเนินงานของชุมชน เพราะแสดงว่าถ้ากรรมการชุมชนมีความเสียสละ ความทุ่มเทให้กับประชาชนและชุมชน แล้วก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่คณะกรรมการชุมชนจะกระทำ เนื่องจากจะสะท้อนความมีน้ำใจและการเอื้ออารีต่อประชาชนในชุมชนได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนความเป็นผู้นำ ถ้าผู้นำชุมชนมีความกล้าเสียสละและทุ่มเทให้กับชุมชน ประชาชนในชุมชนย่อมให้ความศรัทธา และเชื่อมั่นตลอดไป
ส่วนการติดตามประเมินผลในการพัฒนาชุมชน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาชุมชน คณะกรรมการชุมชนจึงควรมีการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานทุกขั้นตอนของแผนพัฒนาชุมชน เพื่อจะได้นำข้อบกพร่องในการดำเนินงานของแผนพัฒนามาปรับปรุงแก้ไขในการทำงานครั้งต่อไปให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์
อีกประเด็นที่อยากเสนอไว้ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่สำคัญและมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาชุมชน คือ สำนักงานเขตดุสิตควรจัดให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลในพื้นที่ของชุมชนอย่างทั่วถึง รวมถึงเจ้าหน้าที่ควรมีมนุษยสัมพันธ์เมื่อเข้ามาติดต่อประสานงานกับชุมชน เพื่อสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน รวมถึงกรุงเทพมหานครและสำนักงานเขตดุสิตควรมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้แต่ละชุมชนในการพัฒนาชุมชนอย่างเพียงพอ และมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันกรรมการชุมชนต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วจึงนำมาเบิกแต่กว่าสำนักงานเขตจะอนุมัติให้เวลานาน 2-3 เดือน ส่งผลให้คณะกรรมการเกิดความเบื่อหน่ายที่จะดำเนินการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องต่อไป(ในประเด็นนี้นอกจากได้ผลลัพธ์จากงานวิจัยแล้ว ยังเป็นข้อเรียกร้องจากการพบปะพูดคุยกับประชาชนและกรรมการชุมชนอีกด้วย)
บทสรุปสั้น ๆ ของผู้วิจัย ว่า การพัฒนาชุมชนจะให้มีความเจริญรุ่งเรืองและตรงกับความต้องการของชุมชนนั้น ถึงแม้ว่ากรรมการชุมชนจะทุ่มเทมากสักเพียงใดก็ตาม หากขาดเสียซึ่งการมีส่วนร่วมของประชาชนอันเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาชุมชนแล้วก็ย่อมทำให้ชุมชนนั้นพัฒนาได้ตรงตามความต้องการของชุมชนก็เป็นไปได้ยากอย่างแน่นอน จากหลักการนี้ การจะพัฒนาชุมชนภายใต้เขตดุสิต กรุงเทพมหานครทั้ง 44 ชุมชนจำเป็นอย่างยิ่งต้องอาศัยทั้งภาครัฐ (สำนักงานเขต) ภาคประชาชน (คณะกรรมการชุมชน และประชาชน) มาร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาชุมชนให้มีตรงตามความต้องการของตนเองและพัฒนาให้เกิดความต่อเนื่องไปจนกว่าจะประสบผลสำเร็จคือความกินดีอยู่ดีของประชาชนภายในชุมชน....นี้จึงเป็นความสำเร็จแท้จริงของหัวใจการพัฒนาชุมชน.

-----------------------------------------------------

หนังสืออ้างอิง (References)
ขนิษฐา ศรีนนท์. การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนย่อยต่อการวางแผนพัฒนาเทศบาลนครนนทบุรี. ภาคนิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา, 2544.
เจตน์ มงคล. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชนเทศบาลเมืองบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2547.
เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง. การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร : ศักดิ์โสภาการพิมพ์, 2527.
ฉวีวรรณ สุมงคล. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการชุมชน : กรณีศึกษาชุมชนในพื้นที่เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร. ภาคนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2550.
ชูเกียรติ เปี่ยมศรี. การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนย่อย: ศึกษาเฉพาะกรณี เทศบาลเมืองระยอง จังหวัดระยอง. ภาคนิพนธ์รัฐประศาสนศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา, 2543.
สมชัย ศิริสมบัติ. การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาเทศบาลไปสู่ “เมืองน่าอยู่” กรณีศึกษาเทศบาลเมืองบ้านบึง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี. ภาคนิพนธ์ รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา, 2545.
ดิเรก ฤกษ์หร่าย. การพัฒนาชนบท: เป็นหลักการพัฒนาสังคมและแนวความคิดจำเป็นพื้นฐาน. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2524.
ธนาวิทย์ กางการ. การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนในเขตเทศบาลตำบลสำโรงใต้ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา สถาบันราชภัฎธนบุรี, 2546.
ปรีดา เจษฎาวรางกูล. การมีส่วนร่วมของกรรมการชุมชนในการพัฒนาชุมชนในเขต เทศบาลเมืองคูคต อำเภอ ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี. ภาคนิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2550.
ปาริชาติ วลัยเสถียร และคณะ. กระบวนการและเทคนิคการทำงานของนักพัฒนา.กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), 2543.
ภัสสุรีย์ คูณกลาง. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนในรูปแบบเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน เทศบาลนครขอนแก่น. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุข ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารสาธารณสุข บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2546.
ยุวัฒน์ วุฒิเมธี. หลักการพัฒนาชุมชนและการพัฒนาชนบท. กรุงเทพมหานคร : อนุเคราะห์ไทย, 2536.
สาวิตร จิตรประวัติ. แรงจูงใจที่ทำให้ผู้นำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง การปกครองท้องถิ่น ศึกษาเฉพาะกรณีผู้นำชุมชนในเขตเทศบาลตำบลแหลมฉบัง. ภาคนิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา, 2542.
สาวิตรี ทองยิ้ม. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของคณะกรรมการหมู่บ้าน ตำบลหนองประดู่ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี. ภาคนิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, 2550.
สุภชัย ตรีทศ. การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการชุมชนต่อการวางแผนพัฒนาเทศบาลเมืองชลบุรี. ภาคนิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา, 2547.
Cohen John M. and Uphoff, NormanT. Participation’s Place in Rural Development, Seeking Clarity Through Specificity” World Development. Vol. 8., 1980.
Erwin, William. Participation Management: Concept, Theory and Implementation. Atlanta : Georgia State University, 1976.

[Online]
กรุงเทพมหานคร. ระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยกรรมการชุมชน พ.ศ.2534, 2534. [Online] accessed 10 May 2009. Available from http://203.155.220.217/bangkoknoi/community/pdf/ระเบียบว่าด้วยกรรมการชุมชน.pdf
ราชกิจจานุเบกษา. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, 2550. [Online] accessed 10 May 2009. Available from http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/A/047/1.PDF